นราธิวาส - รวบหนุ่มใหญ่ขนดอกไม้ไฟมูลค่ากว่า 2 แสน คาด่านความมั่นคงที่ อ.สุไหงโก-ลก ขณะแจ้งข้อหาไม่มีใบอนุญาต และฝืนคำสั่ง กอ.รมน.ห้ามขนย้ายช่วงเดือนรอมฎอนกลับมี “นักข่าวใหญ่” กร่างใส่ขอเคลียร์คดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 มิ.ย.) ขณะที่ ร.ต.อ.วสันต์ พันธ์โภชน์ สว.ป.สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ร.ต.ท.อับดุลฮากิม เจ๊ะเมาะ หัวหน้าชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4412 ร้อย ตชด.447 ร.ต.นพพร สนธิวงศ์ ผบ.หมวดปืนเล็กที่ 1 ฉก.นราธิวาส 36 และกำลังภาคประชาชนได้ร่วมกันตั้งด่านตรวจที่บ้านปะดังยอ ม.3 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก ได้พบรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิซิ ไทรทัน สีบรอนซ์ ทะเบียน บจ 2491 นราธิวาส ขับผ่านมา โดยกระบะหลังใช้ผ้าใบสีดำปิดมิดชิด เจ้าหน้าที่จึงได้เรียกเพื่อทำการตรวจค้น
จากการตรวจสอบพบด้านหลังกระบะมีการบรรทุกประทัด และดอกไม้ไฟที่บรรจุอยู่ในลังกระดาษสีน้ำตาล 13 ใบ และห่อใส่ถุงพลาสติกสีขาวขนาดใหญ่รวม 6 ถุง ซึ่งมีประทัด และดอกไม้ไฟรวม 14 รายการ เช่น พลุสี ข้าวต้มมัดแบบ 3 เหลี่ยม ประทัดแบบปิงปอง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 แสนบาท เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาซึ่งทราบชื่อภายหลังคือ นายอิสมาแอ ตูแวตีมุง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/3 ม.1 ต.นานาค อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พร้อมของกลางมาสอบสวนที่ สภ.มูโนะ
โดยนายอิสมาแอ ให้การต่อเจ้าหน้าที่ว่า ตนเป็นเพียงผู้รับจ้างบรรทุกประทัด และดอกไม้ไฟจากเถ้าแก่คนหนึ่งในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เพื่อไปส่งให้แก่ลูกค้าในประเทศมาเลเซียที่มารอรับประทัด และดอกไม้ไฟที่บริเวณท่าเรือข้ามฟากบ้านปะดังยอ โดยใช้รถยนต์กระบะของตนบรรทุก ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าในช่วงเดือนรอมฎอน ทาง พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาค 4 ได้สั่งห้ามจำหน่ายจ่ายแจกประทัด และดอกไม้ไฟ เนื่องจากเป็นการรบกวนสร้างความเดือดร้อนและรำคาญต่อชาวมุสลิมที่ประกอบศาสนกิจในเดือนอันศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งดำเนินคดีใน 2 ข้อหาคือ 1.ไม่มีใบอนุญาตในการจำหน่ายประทัด และดอกไม้ไฟ 2.ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ตามคำสั่งของกองอำนวยการความมั่นคงภายใน พร้อมยึดรถยนต์กระบะของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดในครั้งนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งความดำเนินคดีได้มีบุคคลอ้างตัวเป็นนักข่าวใหญ่ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกรายหนึ่งเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อขอเคลียร์ในการจับกุมประทัดดอกไม้ไฟดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นสื่อมวลชน และแสดงท่าทางโวยวายเสียงดัง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยินยอม และได้แจ้งกลับไปว่า เป็นสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมตักเตือนว่าคนที่อ้างตัวเป็นนักข่าวต่อให้เป็นจริงก็ไม่ควรทำอะไรที่เสียชื่อสถาบันสื่อมวลชนที่ตนสังกัด