นครศรีธรรมราช - เครือข่ายประชาสังคมจ่อขยับกระชากหน้ากากผู้อยู่เบื้องหลัง ม.วลัยลักษณ์ ป่วน ตอกย้ำเหตุขวางเดินหน้าแค่เรื่องผลประโยชน์กลุ่มคนแค่หยิบมือ ผบก.นครศรีธรรมราช เตรียมชงใช้มาตรา 44
วันนี้ (11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีปัญหาภายในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ภายหลังจากการยกเลิกสัญญาก่อสร้างโครงการศูนย์การแพทย์ เนื่องจากพบว่ามีการใช้เอกสารทางการเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเอกสารปลอมเข้าทำนิติกรรมสัญญา ขณะที่รักษาการผู้บริหารพยายามเร่งเดินหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ขึ้นใหม่ยังคงมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความวุ่นวายโดยมีเบื้องหลังที่รับรู้อย่างกว้างขวาง
ความคืบหน้าล่าสุด หลายฝ่ายได้เริ่มมีปฏิกิริยาเรียกร้องให้ภาคประชาสังคม รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องต่อมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์กว่า 1 หมื่นคน รวมทั้งชาวนครศรีธรรมราช ออกมาร่วมกันใช้มาตรการทางสังคมกระชากหน้ากากผู้ที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวาย โดยล่าสุดนั้น นายทรงวุฒ พัฒแก้ว นักวิชาการ ผู้จัดการศูนย์วิจัยความเป็นเลิศด้านกุ้ง หน่วยกักกันโรคจากพ่อแม่พันธ์กุ้ง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผู้เสียหายที่ถูกยิงถล่มบ้านพักได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกความว่า
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา สังคมพอรับรู้ว่ามีการสร้างสถานการณ์ สร้างความขัดแย้ง สร้างความวุ่น จนเกิดบรรยากาศที่ไม่ดีทั่วมหาวิทยาลัย หลายคนอึดอัดแต่ไม่กล้าพูด เกรงกลัวไปทุกเรื่อง วันนี้ ทางมหาวิทยาลัยพยายามเดินหน้าในเรื่องต่างๆ ก็ถูกแตะถ่วงไปทุกเรื่อง ทั้งที่เรื่องนี้เป็นแค่คนหยิบมือเดียวที่แสวงหาผลประโยชน์ และได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ มหาวิทยาลัยยังคงเดินหน้าปกติในทุกเรื่อง ยังเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ยังเป็นเสาหลักทางวิชาการที่พึ่งได้”
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ระบุด้วยว่า ดังนั้น เราในฐานะนักศึกษา ศิษย์เก่า คณาจารย์ และสังคมจะยอมให้เรื่องของผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนเป็นบ่อนทำลายมหาวิทยาลัยเชียวหรือ ถึงเวลาแล้วครับที่ทุกคนต้องช่วยกัน ช่วยกันบอกว่า มหาวิทยาลัยเป็นของทุกคน อย่าทำลายมหาวิทยาลัยด้วยผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนอีกเลย”
เช่นเดียวกับ นายประสิทธิชัย หนูนวล นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงประชาคมวลัยลักษณ์ และประชาคมเมืองนคร ถึงกรณีความวุ่นวายในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยมีใจความสำคัญว่า
“เหตุการณ์ครั้งนี้ และหลายครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากคนกลุ่มเดิมกลุ่มเดียว และหยิบมือเดียวเท่านั้น และเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นใคร ประเด็นที่สำคัญคือ คนดีวลัยลักษณ์นับหมื่นปล่อยให้คนชั่วหยิบมือเดียวเหิมเกริมอยู่ได้อย่างไร นักวิชาการทั้งหลายโดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์นิ่งเฉยต่อปรากฏการณ์แบบนี้ได้อย่างไร หรือว่าความยิ่งใหญ่ทางทฤษฎีอธิบายไม่เป็นกับปรากฏการณ์เล็กๆ แบบนี้ ตราบเท่าที่เราช่วยกันนิ่งเฉย คนเพียงไม่กี่คนที่นับหัวได้เหล่านี้จะยิ่งเหิมเกริมสร้างสถานการณ์เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตน”
จดหมายเปิดผนึกนายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ยังเรียกร้องว่า มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันทางวิชาการ เป็นที่อยู่ของปัญญาชนนับหมื่น ควรแล้วหรือที่จะให้คนเพียงไม่กี่คนมาเหิมเกริมสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว เราต้องช่วยกันเพียงออกเสียงคนละเสียงผ่านช่องทางที่มีอยู่ว่า มหาวิทยาลัยเราเป็นสถาบันทางวิชาการไม่ใช่ที่แสวงหาผลประโยชน์ของใคร พลังทางสังคมเท่านั้นที่จะจัดการต่อคนเหล่านี้ได้ สักวันหนึ่งเราต้องช่วยกันกระชากหน้ากากของคนเหล่านี้ออกมาในพื้นที่สาธารณะอย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดบนผืนดินทางวิชาการที่ควรอุดมด้วยปัญญาแห่งนี้อีกเลย
ไม่แตกต่างจาก ผศ.ดร.สถาพร ดิเรกบุษราคม นักวิชาการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กกลุ่มวลัยลักษณ์คือบ้าน ว่า อยากวิงวอนสังคมมาช่วยกันทำวลัยลักษณ์ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีเป็นหลักในถิ่นซะทีเถอะ หยุดก่อกวน หรือสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีอีกเลย เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งในสังคมนี้ ทุกคนล้วนรักมหาวิทยาลัยก็ควรหันหน้ามาช่วยกันสร้างสิ่งดีๆ ขึ้นมา
“ใครที่เคย หรือคิดสร้างสถานการณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาขอโปรดใคร่ครวญสักนิดว่าผลของการกระทำนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเพียงใด การที่คนในสังคมไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้ แต่ทุกคนหวังว่าคนในมหาวิทยาลัยมีจิตสำนึกที่ดีอยู่ในส่วนลึกๆ ของใจทุกคน สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ให้เป็นบทเรียนของทุกคน ถึงเวลาแล้วนะคะมหาวิทยาลัยตั้งมาเกือบ 20 ปี ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากความขัดแย้ง เราทุกคนลองหันกลับมามองตัวเราเองว่าทำอะไรผิดไปบ้าง ที่สำคัญหยุดมองความผิดของคนอื่น แล้วถามตัวเองว่าจะทำอะไรให้มหาวิทยาลัยดีขึ้นบ้าง”
ในเรื่องเดียว กัน พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ความวุ่นวายในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เจ้าหน้าที่รู้ตัวว่าเป็นกลุ่มไหน เราได้เรียกมาพุดคุยทำความเข้าใจแล้ว ซึ่งต้องดูต่อไปในเรื่องของศูนย์การแพทย์นั้นได้เตรียมหารือกับฝ่ายทหารเพื่อหาช่องทางยุติความวุ่นวายทั้งหมด ซึ่งอาจมีการเสนอใช้มาตรา 44 ให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ผลคงออกมาเร็วๆ นี้