xs
xsm
sm
md
lg

คาร์บอมบ์สมุย! ความจริงไม่ตาย แต่จะมีคนตายจากไม่พูดความจริงอีกเท่าไหร่ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากอินเทอร์เน็ต
 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก 
 
สถานการณ์ภาคใต้ ณ วันนี้เป็นการผสมโรงระหว่าง “คาร์บอมบ์” บนเกาะสมุย จ.สุราษฏ์ธานี กับเหตุการณ์ “ไฟใต้” บนแผ่นดินปลายด้ามขวานที่เริ่มความถี่มากขึ้น โดยมีเงื่อนไขหลักจากการที่ตำรวจและทหารพรานยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี
 
หลังเกิดเหตุ 4 ศพที่ทุ่งยางแดงโมเดล แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือกลุ่มก่อการร้าย ได้อ้างเอาเป็นปัจจัยไปเข่นฆ่าคนไทยพุทธในพื้นที่แล้ว 7 ราย หรือล่าสุด 24 เม.ย.ก่อเหตุระเบิดที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซุ่มโจมตีฐานเจ้าหน้าที่ วางระเบิดที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี และยิงบ้านผู้ใหญ่บ้านที่ อ.เทพา จ.สงขลา
 
ในขณะที่เรื่องราวคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยนั้น ยิ่งนานวัน ยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ “สับสนอลหม่าน” เพราะในทางคดียิ่งตีวงแคบเข้า ผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดเป็นคนใน จ.ปัตตานีกับ จ.ยะลา อีกทั้งแทนที่จะเป็นมือคาร์บอมบ์ กลับกลายเป็นผู้มีอาชีพนายหน้าซื้อขายรถยนต์มือสอง และเจ้าของร้านขายบัตรเติมเงิน
 
ส่วนมือคาร์บอมบ์จริงๆ หายไปไหนก็ไม่รู้ เพราะภาพสเก็ตซ์ที่ออกมากลายเป็น “นักธุรกิจอายุใกล้เกษียณ” หรือไม่ก็ “กุมารจีน” ซึ่งเห็นแค่ภาพผู้คนก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นมือคาร์บอมบ์ไปได้
 
เช่นเดียวกับ “ผู้บงการ” หรือ “คนว่าจ้าง” ข่าวที่ออกมาทั้งเละเทะและเปียกปอนกันทั้ง “นักการเมือง” ในชายแดนใต้ไปจนถึง “พ่อใหญ่จิ๋ว” ที่ถูกลากเข้าไปในหล่มน้ำเน่า ซึ่งเป็นความสะใจของมิตรรักแฟนเพลงขั้วตรงข้ามทางการเมืองแน่นอน
 
ที่เละยิ่งกว่าคือ “บิ๊กกากี” ในส่วนกลางที่ไม่รู้สภาพพื้นที่ ธรรมเนียมประเพณี ภาษา หรือศาสนาของคนชายแดนใต้ จึงแถลงข่าวแบบนกแก้วนกขุนทองผิดๆ ถูกๆ เป็นรายวัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครชงข้อมูลให้เดินไปตกเหวได้ขนาดนั้น
 
ถึงวันนี้ “บังยี” เจ้าของเต็นท์รถมือสองก็ยังหาตัวตนไม่พบ ในขณะที่ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวก็เป็นเพียงพนักงานขับรถทางราชการ ซึ่งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ตำรวจจากส่วนกลางแถลงแต่อย่างใด
 
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่าว่าแต่คนในพื้นที่จะรู้สึก “สับสน” จนเชื่อว่าน่าจะเป็นการ “ ป้ายสี” กันเลย แม้แต่ตำรวจที่รับผิดชอบสำนวนการสอบสวนก็ยังมึนตึ๊บกับชุดข้อเท็จจริงของส่วนกลาง โดยเฉพาะเมื่อนำมาเทียบกับชุดข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งสุดท้ายเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำได้แค่หายาทัมใจใช้รักษาอาการไปเรื่อยๆ เท่านั้น
 
มีผู้ที่น่าเห็นใจเพราะตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่สามารถปฏิเสธได้คือ “นักข่าว” ในพื้นที่ ซึ่งทั้งรู้เรื่องราวและรู้จักคนที่ถูกจับเป็นอย่างดี แต่ข่าวที่ส่งไปให้สื่อต้นสังกัดกลับไม่ได้รับความสนใจ เพราะการแถลงข่าวของ “นายพล” มีเครดิตมากกว่า
 
สุดท้ายข่าวที่เกี่ยวกับคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยไม่เพียงแต่ “ตำรวจใหญ่” และ “สตช.” เท่านั้นที่ประชาชนไม่ศรัทธา แต่ยังกลายเป็นว่า “สื่อ” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความมั่วซั่วจนหมดความน่าเชื่อถือเช่นกัน
 
นี่คือความเป็นจริงที่ว่า “คนรู้ไม่ได้พูด คนพูดไม่ได้รู้” หรือจะว่าคนรู้ไม่ได้ทำ ส่วนคนที่ถูกส่งให้ทำคดีกลับเป็นคนที่ “นายสั่งได้”
 
จึงไม่แปลกที่เวลานี้ผู้คนพุดกันหนาหูว่า คดีใหญ่ๆ ในชายแดนใต้หลายครั้งหลายหนเป็นไปในลักษณะของ “คนตาบอด จูงคนตาดี” โอกาสที่ทั้งคนจูงและถูกจูงจะตกเหวด้วยกันจึงมีอยู่สูงยิ่ง
 
ส่วนผู้ได้ประโยชน์จากคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยเต็มๆ คือ ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเน็ต ซึ่งเวลานี้ก็ทำเป็น “ตีเนียน” ไม่แสดงความรับผิดชอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเกี่ยวข้อง
 
รวมทั้งไม่หยิบกรณีเจ้าหน้าที่วิสามัญประชาชน 4 ศพที่ อ.ทุ่งยางแดง ไปใช้เป็นประเด็นขับเคลื่อนงานทางการเมืองและการทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ชวนให้จับตามองถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
 
ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ และกลุ่มแนวร่วมกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ หรือว่ากำลังนั่งหัวเราะจนสะดือบานกับความโกลาหลที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา
 
คดีคาร์บอมบ์สมุยย่างเข้าสัปดาห์ที่ 3 แล้ว แต่ทั้งฝ่ายความมั่นคงและการเมืองยังคงยืนกรานแบบนิทานเรื่องกระจงสามขาว่า เป็นเรื่องการ “ดิสเครดิตทางการเมือง” เพื่อสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาล
 
ยกเว้นก็แต่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ นอกนั้นทุกฝ่ายที่เสนอหน้าในสังคมต่างประสานเสียงว่า ไม่ใช่ฝีมือของบีอาร์เอ็นฯ หรือกลุ่มมูจาฮีดิน แม้ว่าข่าวที่ถูกปั้นนำเสนอไปแล้วจะพยายามชี้ว่า ผู้ถูกควบคุมตัวอยู่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับแนวร่วมขบวนการก็ตาม
 
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าฝ่ายความมั่นคงจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น เพราะหากมีการยอมรับว่าคาร์บอมบ์ลุกลามไปจากไฟใต้ นั้นหมายถึง “ฉากจบ” ของธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งในภาคใต้และระดับประเทศด้วย
 
เนื่องเพราะย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างส่งผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง
 
เนื่องเพราะเคยใช้กฎอัยการศึกก่อนหน้า เวลานี้ประกาศใช้ ม.44 จำนวนนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศก็ลดลงอย่างน่าใจหาย ถ้าเกาะสวาทหาดสวรรค์ในภาคใต้กลายเป็นเป้าหมายในการก่อวินาศกรรม สิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องใช้คำว่า “ดูไม่จืด” แน่นอน
 
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งดำเนินการคือ การรับมือการก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้  เพราะหากคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยไม่ใช่ฝีมือบีอาร์เอ็นฯ แต่เป็นการกระทำของกลุ่มคนที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่มีเกิดขึ้นซ้ำอีก ในเมื่อคนทำและคนว่าจ้างยังลอยนวลอยู่ได้
 
เมื่อต้องข้ามไปทำถึงบนเกาะที่การหลบหนีทำได้ยากมาก นับประสาอะไรกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะบนแผนดินใหญ่จะทำไม่ได้เล่า
 
วันนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันเหตุร้าย การรักษาความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นของทุกคนในชุมชนที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน
 
ความจริงคือสิ่งไม่ตาย แต่ประชาชนอาจจะต้องทั้งตาย บาดเจ็บและสูญเสียทรัพย์สินจากการไม่บอกความจริงของของเจ้าหน้าที่กันอีกเท่าไหร่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น