ปัตตานี - ประธานเครือข่ายคณะกรรมการอิสลาม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วอนหน่วยงานการข่าวด้านความมั่นคงทำงานตรงไปตรงมา ไม่กล่าวหาใส่ความกัน ไร้ความรับผิดชอบ
วันนี้ (15 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานเครือข่ายคณะกรรมการอิสลาม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกมาแถลง และแสดงความเสียใจหลังมีข่าวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงออกสู่สาธารณะอย่างไม่เป็นความจริง ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวของหน่วยความมั่นคงในพื้นที่
โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย.58 เวลา 13.00 น. ได้มีการแจ้งเตือนให้หน่วยกำลังในพื้นที่ให้เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ หลังจากที่ได้แจ้งข่าวจากหน่วยความมั่นคงว่า มีการปรากฏความเคลื่อนไหวของสมาชิกผู้ก่อการร้ายประมาณ 30 คน ทราบชื่อ 3 คน คือ 1.นายอับดุลรอแม หรือ อุสตาซแม หรือแบแม อายุ 41 ปี เดิมเป็นราษฎรในพื้นที่ จ.นราธิวาส จบการศึกษาด้านศาสนาระดับปริญญาตรี จากประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันพักอาศัยที่บ้านพักของภรรยาในพื้นที่บ้านไผ่มัน ม.3 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ประกอบอาชีพค้าขายเสื้อผ้ามุสลิม 2.นายสะมะแอ ลาเตะ เปอมูดอ ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 3.นายมะตอเฮ มูน๊ะ อายุ 38 ปี เป็นคนบ้านคูระ ม.2 ต.ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ทำหน้าที่ดูแลควบคุมสมาชิกผู้ก่อการร้ายระดับปฏิบัติการมือประกอบระเบิด
ทั้งหมดมีการรวมตัวพบปะ และร่วมประชุมวางแผนบริเวณภายในห้องประชุมของโรงเรียนมะอ์ฮัดดารุลมาอาเรฟ ตั้งอยู่บริเวณสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี โดยมีการอ้างในที่ประชุมว่า ได้มีการสั่งการให้สมาชิกผู้ก่อการร้ายเตรียมก่อเหตุลอบวางระเบิด ลอบยิงทหาร ตำรวจ และพี่น้องไทยพุทธในพื้นที่ จ.ปัตตานี ในช่วงวันที่ 8-30 เม.ย.58 ซึ่งการดำเนินการข่าวของหน่วยข่าวด้านความมั่งคงในลักษณะนี้ ทำให้หลายฝ่ายออกมาแสดงความไม่พอใจ เพราะเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีข้อเท็จจริง สร้างความเสียหายให้แก่โรงเรียนดารุลมะอ์ฮัดดารุลมุอาริฟ ร่วมทั้งสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเรียกร้องให้การข่าวของหน่วยความมั่นคงควรทบทวนบทบาทการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรคาดเดา และใส่ความกล่าวหาโดยไม่มีความรับผิดชอบ
นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานเครือข่ายคณะกรรมการอิสลาม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ข้อมูลการข่าวของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่อ้างถึงกรณีดังกล่าวว่า มีการจัดประชุมของสมาชิกก่อการร้ายภายในห้องประชุมของโรงเรียนดารุลมะอ์มุอาเรฟ เพื่อก่อการร้ายนั้น ไม่ได้เป็นความจริง เพราะจากตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว พบว่า มีการประชุมจริง และรวมตัวจริง แต่เป็นการประชุมเตรียมงานการจัดกิจกรรมอบรมภาคฤดูร้อน หรือกุมปัส (KUMPAS)
จึงได้เรียกประชุมหลายฝ่ายจึงทำให้มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก เพราะการจัดกิจกรรมอบรมภาคฤดูร้อนของเยาวชนในปีนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณของเทศบาลเมืองปัตตานีเหมือนทุกปี ต่างจากหลายปีที่ผ่านมา จึงต้องระดมทุนที่นอกเหนือจากงบประมาณรัฐ จึงจำเป็นต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมดังกล่าวลุล่วงด้วยดี ทั้งหมดไม่ได้ประชุมเพื่อวางแผนในการเตรียมก่อความไม่สงบในพื้นที่แต่อย่างใด
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทมอ ทุกปีทางคณะกรรมการอิสลามจะมีการจัดค่ายภาคฤดูร้อน เพื่อสนองตามนโยบายแม่ทัพภาค 4 และผู้ว่าราชการประจำจังหวัดปัตตานี ที่รณรงค์ให้เด็ก และเยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ไม่กระทำออกนอกลู่นอกทาง หรือใช้เวลาไม่เกิดประโยชน์ ทางคณะกรรมจัดกิจกรรมภาคฤดูร้อนจึงได้สานต่อในการจัดค่ายภาคฤดูร้อนขึ้นเป็นครั้งที่ 28 ถึงแม้ครั้งนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ตาม แต่คณะกรรมการได้เล็งเห็นความสำคัญของเยาวชนที่จะต้องเป็นกำลังหลักของชาติ ทางคณะกรรมการฯ จึงต้องมีการประชุมวางแผนเตรียมการเพื่อแบ่งงานแบ่งหน้าที่
นายแวดือราแม มะมิงจิ ยังได้กล่าวว่า นอกจากข้อมูลที่เป็นการกล่าวหาอย่างไม่มีความจริงเลยนั้น ภายหลังปรากฏข่าวดังกล่าว หน่วยงานข่าวในพื้นที่ยังได้มีการแจ้งเตือนจากกรณีการจัดประชุมดังกล่าว ให้ทุกพื้นที่เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากนั้น ได้มีหน่วยงานทหาร ได้เข้าไปสังเกตการณ์ภายในสำนักงานคณะกรรมอิสลาม ประจำจังหวัดปัตตานี ในขณะที่ภายในห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมอิสลาม ได้มีการจัดกิจกรรมอบรมเยาวชนก่อนเข้าแต่งงาน ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจะมีการจัดประชุมอบรมทุกสัปดาห์ และทุกครั้งจะมีการแจ้งให้ทาง สภ.เมืองปัตตานี รับทราบทุกครั้ง ซึ่งทหาร หรือหน่วยข่าวฝ่ายความมั่นคงเข้ามาโดยไม่มีมารยาท ไม่มีการขออนุญาตเข้ามาภายในงานแล้วมีการถ่ายรูป และคุยไม่กี่คำก็ออกไป ไม่รู้เข้ามาทำไม หรือส่งสัยการทำงานในส่วนไหน
“การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการคุกคาม รู้สึกเสียใจต่อข้อมูล และมุมมองของเจ้าหน้าที่บางหน่วยที่ยังไม่ตอบรับนโยบายแม่ทัพภาค 4” หลังจากนี้ คิดว่าต้องมีการพูดคุยกับแม่ทัพภาค 4 ถึงข้อกล่าวหากรณีด้งกล่าวเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เชื่อว่าข้อผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากความอคติของผู้ปฏิบัติงาน และไม่มีการกรองข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะนำสู่การสั่งการ”
ด้าน พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ทุกฝ่ายทำงานเพื่อแสวงหาสันติสุข ทุกฝ่ายพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสันติสุขให้ได้ “คิดว่าต้องมีการกลับไปการดูการทำงานของหน่วยการข่าว ฝ่ายความมั่นคงต่อไป เราจะทำงานอย่างโปร่งใส่ และตรงไปตรงมา ยึดหลัดสิทธิมนุษย์ชน และกฎหมาย
ส่วนบรรยากาศที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ได้มีผู้ปกครองได้นำบุตรหลานเข้ามาลงทะเบียนยืนยันการเข้าค่ายภาคฤดูร้อน หลังจากที่ได้มีการเข้าสมัครมาก่อนหน้านี้ พร้อมนำเงินสนับสนุนการเข้าอบรมคนละ 350 บาท ซึ่งครั้งเป็นครั้งแรกที่ทางคณะกรรมการเรียกเก็บจากผู้เข้าร่วม นอกจากนั้น ได้มีเสียงตอบรับจากผู้ประกอบการ ห้างร้านในการเข้ามาสนับสนุนงบประมาณของการจัดค่ายอบรมภาคฤดูร้อนในครั้งนี้อีกด้วย