ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เคลื่อนไหวเรียกร้องอีกครั้ง หลังผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาคนใหม่ ผ่านหนังสือเห็นควรพิจารณาอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองหินเขาคูหา
นายเอกชัย อิสระ ผู้ประสานงานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้ชาวบ้านในเครือข่ายฯ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากกิจการระเบิดหินของผู้ประกอบการโรงโม่หินเขาคูหา ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ได้เตรียมการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมกันอีกครั้ง หลังจากที่มีรายงานว่า ขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ผ่านหนังสือเห็นควรพิจารณาอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองหินเขาคูหา
ด้วยเห็นว่าบริษัทดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ แล้ว ผ่านประชาคมแล้ว ผู้นำทางการท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต่างให้ความเห็นชอบ และสนับสนุนการประกอบกิจการ และยังเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลา และประเทศชาติ
“ทางเครือข่ายจึงต้องนำความจริงออกไปบอกส่วนราชการต่างๆ ให้ทราบความจริง ข้อมูลพอสู้กันได้ แต่กำลังภายในน่าเป็นห่วง แต่คำตอบที่อุ่นใจเมื่อวานนี้จากสำนักงานเลขาธิการ ครม. คือเรื่องเขาคูหา ยังไม่มีเข้ามา หน่วยงานต้นสังกัดยังไม่ทำมาที่สำนักเลขาธิการ ครม.”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คดีชาวบ้านชุมชนเขาคูหา 4 ราย ใน ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา คดีหมายเลขดำที่ พ.588/2553 ระหว่าง นางเรณู แสงสุวรรณ กับพวกอีก 3 คน ประกอบด้วย นางวรรณี พรหมคง, นางเอื้ออารีย์ มีบุญ และนางราตรี มณีรัตน์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท พีรพลมายนิ่ง จำกัด ความผิดฐานละเมิดและทำให้เสียทรัพย์จากการประกอบกิจการเหมืองหินเขาคูหา ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา
โดยศาลแขวงสงขลาพิพากษาให้บริษัทเหมืองจ่ายค่าเสียหายให้กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ โดยให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่การดำเนินกิจการเหมืองหินปูนทำให้บ้านแตกร้าว เกิดฝุ่นละออง เสียงดัง สั่นสะเทือนก่อให้เกิดการตระหนกตกใจ และสุขภาพจิต ซึ่งบริษัทต้องจ่ายเป็นจำนวนเงิน 600,000 กว่าบาท
ซึ่งการต่ออายุสัมปทานบัตรเหมืองหินเขาคูหา ทำให้ชาวบ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงโม่หินเริ่มมีความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอีกหากภาครัฐอนุญาตให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการได้อีกครั้ง