ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เครือข่ายปกป้องถ่านหินกระบี่กว่า 40 คน นอนประท้วงหน้าสำนักงาน สผ. แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต้านการสร้างท่าเทียบเรือคลองรั้ว-โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซัดการทำ EIA ปิดกั้นการแสดงความเห็นประชาชน ประเมินผลกระทบต่ำกว่าความเป็นจริง กระทบพื้นที่ชุ่มปากแม่น้ำ หวั่นกลายเป็น “ซูเปอร์ไฮเวย์ถ่านหิน”
วันนี้ (6 มี.ค.) เครือข่ายปกป้องกระบี่จากถ่านหินและภาคีเครือข่าย จำนวน 40 คน นอนประท้วงบนพื้นหน้าอาคารสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยแต่ละคนมีข้อความว่า “No Coal” บนฝ่าเท้าสองข้าง เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านโครงการท่าเทียบเรือคลองรั้ว และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 870 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดกระบี่ และเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบ EIA และ EHIA โดยทันที
ซึ่งถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง อันสื่อความหมายว่า หากมีการต่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จะเท่ากับความตายของประชาชนในพื้นที่ โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ที่จะพิจารณาให้ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการท่าเทียบเรือคลองรั้ว ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
เครือข่ายปกป้องกระบี่จากถ่านหิน ระบุว่า การจัดทำรายงาน EIA โครงการท่าเทียบเรือคลองรั้ว จังหวัดกระบี่ เป็นกระบวนการที่ขาดความชอบธรรม มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้าถึง และตรวจสอบรายงาน นอกจากนี้ ข้อมูลที่นำเสนอในรายงาน EIA นั้นไม่รอบด้าน และประเมินผลกระทบต่ำกว่าความเป็นจริง
“บ้านคลองรั้ว มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่ผลิตอาหาร มีกุ้ง กุ้งมังกร หอย ปู ปลา ซึ่งถูกจับด้วยวิธีประมงพื้นบ้านด้วยเรือหัวโทง บริเวณช่องแหลมหิน เกาะปู เกาะจำ เกาะศรีบอยา จึงเป็นพื้นที่หากินของเรือประมงทั้งจากบ้านคลองรั้ว และเรือจากพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 400 ลำ ปูม้าของพื้นที่นี้ถูกส่งมาจำหน่ายที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นแหล่งรายได้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของคนในพื้นที่”
“เนื้อหาของรายงาน EIA โครงการท่าเทียบเรือถ่านหินกระบี่ ละเลยความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ (Krabi river estuary) และมองข้ามคุณค่าของระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญรวมทั้งวิถีชีวิตชาวประมงท้องถิ่นบนฐานการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ (2)” นายสมนึก กล่าวเพิ่มเติม
ในเอกสารสรุปความเห็นต่อกระบวนการและการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ โครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว จังหวัดกระบี่ ของ กฟผ. (3) ที่เครือข่ายปกป้องกระบี่จากถ่านหินส่งถึงเลขาธิการ สผ. และคณะกรรมการผู้ชำนาญการในการพิจารณาโครงการ ลงวันที่ 5 มีนาคม 2558 ยังระบุด้วยว่า โครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ขัดต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขัดต่อพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ในส่วนที่ 3 ที่ห้ามการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และห้ามทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจเป็นอันตราย หรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของพื้นที่เขตอนุรักษ์ และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณค่าสิ่งแวดล้อม
การก่อสร้างท่าเทียบเรือถ่านหิน ซึ่งรวมถึงการสร้างแนวกันคลื่น 1 กิโลเมตร จะก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง สูญเสียผืนแผ่นดิน และผืนป่าชายเลน การลำเลียงถ่านหินผ่านสายพานจะตัดผ่านป่าชายเลน ซึ่งจะก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่ดำเนินโครงการ นอกจากนี้ กิจกรรมการเดินเรือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือนี้จะสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกระบี่ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลอินทรีย์ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก และท้ายสุดกลายเป็น “ซูเปอร์ไฮเวย์ถ่านหิน”
เครือข่ายปกป้องกระบี่จากถ่านหิน ยังได้ยื่นรายชื่อผู้ร่วม “ปกป้องกระบี่” จำนวน 44,000 รายชื่อ ที่เป็นพลังเรียกร้องให้กระบี่ ยังคงเป็นพื้นที่ที่คงไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และปราศจากภัยคุกคามถ่านหิน ผู้คนหลายหมื่นคนเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม อย่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ (สผ.) คณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คนและสิ่งแวดล้อม และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่อนุมัติ EIA โครงการท่าเทียบเรือถ่านหิน พร้อมยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ โดยทันที เพราะผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพนั้นสูงเกินกว่าที่สังคมจะแบกรับได้ นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว