คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
แม้ว่าแก๊ง “ส่วยน้ำมันเถื่อน” ของ “เดอะกิ๊ก - พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีต ผบช.ก. หรือกองบัญชาการสอบสวนกลาง จะดับดิ้นกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีความหลายมาตรา ต่างกรรมต่างวาระกันไป ตามการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งจะผิด หรือถูกเป็นหน้าที่ของอัยการและศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด
แต่การที่แก๊งเดอะกิ๊กถูก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ทลายห้างลงไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “ส่วยน้ำมันเถื่อน” จะหมดไปจากประเทศนี้อย่างที่มีการเข้าใจกัน เนื่องจากส่วยน้ำมันเถื่อนนั้นไม่ได้จ่ายให้แก่ตำรวจในสังกัดสอบสวนกลางเพียงหน่วยงานเดียว แต่ส่วยน้ำมันเถื่อนยังมีการจ่ายให้แก่อีกหลายๆ หน่วยงาน ทั้งศุลกากร สรรพสามิต พลังงาน และที่สำคัญคือ ตำรวจท้องที่
โดยเฉพาะตำรวจท้องที่ หรือ “ตำรวจภูธร” คือหน่วยงานที่รับส่วยจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนที่มากที่สุด และจัดว่าอื้อฉาวที่สุดก็ว่าได้
มีการรับส่วยตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ผู้กำกับ จนถึงสายตรวจ และผู้ที่หน้าที่ในการเรียกเก็บส่วยจากผู้ค้าน้ำมันในระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการจะเป็นหน้าที่ของ “ปนม.” หรือ “ปราบปรามน้ำมันเถื่อน” และ “ฉก.” ที่ไม่ได้แปลว่า ฉก แต่แปลกว่า เฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นโดยกองบัญชาการ และกองบังคับการนั้นๆ ซึ่งเป็นที่รู้ๆ กันว่า ทั้ง 2 หน่วยงานตั้งขึ้นมาโดยอ้างภารกิจในการป้องกันและปราบปรามบังหน้า เพราะหน้าที่โดยตรงที่นายสั่งมาคือ การ “เก็บส่วย” ทุกประเภท
แต่วันนี้จะเขียนถึง “ส่วยน้ำมันเถื่อน” เท่านั้น
ในส่วนของส่วยน้ำมันเถื่อนของ “โรงพัก” จะเป็นไปแบบโรงพักใครโรงพักมัน มีทั้งการจ่ายให้ “ผู้กำกับ” โดยตรงในกรณีที่ผู้กำกับไม่ได้ใจใคร และมีนิสัย “กินรวบ” คือ ไม่เคยรู้จักคำว่า “แบ่งปัน” ในขณะที่โรงพักบางแห่งจะให้ “ลูกน้อง” ที่ไว้ใจได้เป็นผู้จัดการในการเก็บส่วย ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการแบ่งปันให้แก่ลูกน้อง และเผลอๆ อาจจะมีรายการ “หนีบตูด” หรือ “เหยียบตีน” เกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ต้องทำใจ ในขณะที่ “จุดตรวจ” ของโรงพักต่างๆ ที่รถบรรทุกน้ำมันเถื่อนวิ่งผ่าน จะมีการทำบัญชีรถยนต์บรรทุกน้ำมันเถื่อนเพื่อเรียกส่วยเป็นรายเดือน เพื่อเป็น “หม้อข้าว” ในการหล่อเลี้ยงให้อิ่มหมีพีมัน
ดังนั้น การทลายห้างแก๊งเดอะกิ๊กของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เพียงทำให้ตำรวจในสังกัดของกองบัญชาการสอบสวนกลาง เช่น กองปราบปราม ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ และอื่นๆ เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบในเรื่องส่วยน้ำมันเถื่อนโดยตรง และตกอยู่ในอาการผวาไม่กล้าที่จะเก็บส่วยแบบ “ทวนน้ำ” เหมือนในอดีต แต่ก็ยังใช้วิธีการ “ตามน้ำ” ซึ่งเป็นไปตามปกติของวิถีอาชีพ
ในส่วนของตำรวจภูธรในภาคใต้ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่แก๊งเดอะกิ๊กถูกทลายห้างแม้แต่น้อย ตำรวจในชุด ปนม. และในชุด ฉก. รวมทั้งโรงพัก และจุดตรวจทุกแห่งยังคงสำเริงสำราญ ยังสามารถเก็บเกี่ยวส่วยจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนได้เช่นเดิม ซึ่งสังเกตได้ว่า แม้แต่ ผบ.ตร.เองก็ไม่ได้ใส่ใจต่อส่วยน้ำมันเถื่อนที่อยู่นอกเหนือหน่วยงานของสอบสวนกลาง
เนื่องเพราะหลังจากที่มีการทลายห้างแก๊งเดอะกิ๊ก และมีการ “เปิดโปงบัญชีส่วย” ของ “เสี่ยโจ้” แล้ว ทุกอย่างในภาคใต้ยังเหมือนเดิม น้ำมันเถื่อนก็ยังมีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบก และทางทะเล โดยเฉพาะทางบกในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล กลับยังเป็น “ทำเลทอง” ของตำรวจภูธรในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันเถื่อน
ล่าสุด มีนายตำรวจระดับ “ร.ต.ท.” 2 นาย ที่อ้างว่าเป็นตำรวจชุด ปนม.ดักจับกุมน้ำมันเถื่อนในรถบรรทุก 6 ล้อ จำนวน 5,000 ลิตร ในพื้นที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยมีการ “ต่อรอง” เรียกรับเงินเพื่อแลกต่อการ “ไม่เอาผิด” เป็นเงิน 120,000 บาท ก่อนที่จะต่อรองเหลือ 50,000 บาท โดยให้เวลาเจ้าของรถน้ำมัน 2 ชั่วโมงในการไปหาเงิน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายตำรวจทั้ง 2 นายมีตัวตนจริง ซึ่งเจ้าของเงินมีการบันทึกเสียง และถ่ายเอกสารเงินส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นหลักฐาน
ก่อนหน้านี้ทราบว่า ตำรวจชุดเดียวกันได้ใช้วิธีการเดียวกันจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน และทำการ “ตบทรัพย์” เจ้าของน้ำมันไปแล้ว 120,000 บาท เพื่อแลกต่อการไม่ดำเนินคดีต่อเจ้าของรถบรรทุกน้ำมัน และเจ้าของน้ำมันเถื่อน เหตุเกิดใกล้ๆ กับคลังน้ำมัน และโรงพักสิงหนครทั้ง 2 ราย และทราบว่า ยังมีอีกหลายรายที่ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนโดยไม่จ่ายส่วย จึงกลายเป็นเหยื่อให้แก่ “นักบิน” ที่อ้างว่าเป็นตำรวจ ปนม.จากส่วนกลาง
การค้าน้ำมันเถื่อนถือเป็นอาชีพหนึ่งของพ่อค้า นายทุน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีอาณาเขตทางทะเล และทางบกที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นเรื่องปกติของการค้าสินค้าหนีภาษี เพราะราคาที่ห่างกันมากระหว่างน้ำมันในประเทศกับที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนต่อกัน เพราะคนเหล่านี้มีอาชีพในการค้าของหนีภาษี สินค้าอะไรที่ทำกำไรให้มากก็จะลักลอบนำเข้าสินค้านั้น
จนกลายเป็นข้ออ้างในการทำผิดกฎหมายด้วยการใช้คำว่า “วิถีชีวิต” ของคนชายแดนที่ต้องมีอาชีพในการค้าของเถื่อน จนกลายเป็นข้ออ้างของเจ้าหน้าที่รัฐในการไม่จับกุม โดยอ้างว่าจะกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ชายแดน
แต่การที่เจ้าหน้าที่เรียกรับส่วยจากคนค้าของหนีภาษี หรือการที่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในพื้นที่ชายแดนเรียกรับส่วยนั้น เรื่องนี้จะอ้างว่าเป็นวิถีชีวิตไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการ “คอร์รัปชัน” เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ชายแดนที่นิยมชมชอบในการใช้น้ำมันเถื่อน และของหนีภาษีนานาชนิดนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่ไม่ควรจะไปตำหนิ เพราะราคาสินค้าที่แตกต่างกันมากคือสาเหตุการจูงใจ ยิ่งในยุคที่ยางพารา “3 กิโลร้อย” และ “ข้าวแกงกับ 2 อย่าง 50 บาท” มีช่องทางไหนที่ประหยัดได้ก็ต้องทำ
ดังนั้น การค้าน้ำมันเถื่อน การใช้น้ำมันเถื่อน จึงเป็นเรื่องปกติของพ่อค้า นายทุน และของประชาชน เพราะฝ่ายนายทุนต้องการแสวงหากำไรจากการทำผิดกฎหมาย ในขณะที่ประชาชนต้องการที่จะใช้ของถูก เพราะเป็นการลดค่าใช้จ่าย
แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียนถึง และเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็คือ เรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจที่พา “องค์กร” และ “ตัวตน” เข้าไปเรียกรับส่วยจากผู้ทำผิดกฎหมาย เป็นการ “เอื้อผลประโยชน์” ให้แก่นายทุน และเป็นการ “ขูดรีด” ผู้หาเช้ากินค่ำ เพราะแม้แต่ผู้ที่ขาย “น้ำมันขวด” ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังถูกเรียกเก็บส่วยรายละ 2,000-5,000 บาทต่อเดือน
วันนี้ทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า จะต้องทำการ “ปฏิรูปประเทศ” และมีผู้คนส่วนใหญ่ฟันธงว่า หน่วยงานที่ต้องปฏิรูปโดยพลันคือ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
ทั้งนี้ สมาชิก สปช.เองก็มีการร่างแผนการผ่าตัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติในหลายโมเดลด้วยกัน แต่ทุกโมเดลต่างมุ่งไปที่การสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรใหม่ แต่ไม่มีใครสักคนที่จะมองว่าความเน่าเฟะขององค์กรตำรวจมาจากเรื่องของ “ตัวตน” ของตำรวจที่ถูก “ปล่อยปละ” และถูก “บ่มเพาะ” ให้ใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์ โดยที่ไม่เคยสนใจในเรื่องของ “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” ของการเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” แม้แต่น้อย
โดยข้อเท็จจริงเรื่องตำรวจท้องที่ หรือตำรวจภูธร กับส่วยน้ำมันเถื่อนนั้น ไม่ต้องเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ที่จะเป็นผู้แก้ปัญหาหรอก แต่เป็นหน้าที่ของ “พล.ต.ท.มนตรี ประตระนันท์” ผบช.ภ.9 และเหล่า ผบก.ในพื้นที่ที่จะต้องทำการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการเอาโทษ “ตำรวจไม่ดี” หรือทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็น “ตำรวจดี” เพื่อให้ไปทำหน้าที่ในการแก้ปัญหา และการดูแลประชาชน
การปฏิรูปองค์กรตำรวจนั้นต้องอย่ามัวหลงไป “ปฏิลูบ” หรือ “ปฏิคลำ” จนหลงทิศหลงทางให้เสียเวลาเลย เพราะความฟอนเฟะของตำรวจไม่ได้อยู่ที่องค์กร แต่อยู่ที่ “ตัวบุคคล” ถ้าไม่มีการแก้ที่ตัวตนของตำรวจแล้ว จะอีกกี่ปีกี่ชาติวงจรของตำรวจก็จะวนเวียนอยู่ที่ส่วย อยู่ที่การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวรายวันอย่างนี้แหละ
“โกจิว” ผู้สันทัดกรณีแห่งโรงพักหาดใหญ่ กล่าวว่า ตำรวจน่ะไม่ต้องไป “ปฏิลูบ” หรือ “ปฏิคลำ” อะไรให้มากหรอก แค่หยุดการทำโรงพักให้เป็น “ตลาดหลักทรัพย์” ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ประชาชนก็ชื่นใจจนสะดือบานแล้วละครับ
โดยเฉพาะตำรวจชุด ปนม.ที่อ้างว่ามาจากส่วนกลางที่ “บินโฉบเฉี่ยว” อยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา จ.สตูล และ จ.ตรัง เพื่อเรียกตบทรัพย์ผู้ค้าน้ำมันเถื่อน เขารู้กันว่าล้วนแต่เป็น “คนใกล้ชิดนาย” ใน “บชภ.” ทั้งนั้น ถ้านายไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เรื่องเน่าๆ ยอมไม่เกิดขึ้นหรอก