xs
xsm
sm
md
lg

บันทึก “ภาพแรกสึนามิ” (ตอนที่ 1) / ณขจร จันทวงศ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 
โดย...ณขจร  จันทวงศ์
----------------------------------------------------
(ASTVผู้จัดการภาคใต้” นำเสนองานเขียนชิ้นนี้เพื่อร่วมรำลึกวาระ 10 สึนามิ สำหรับ ณขจร จันทวงศ์ ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ผู้สื่อข่าวประจำศูนย์ข่าว ASTVผู้จัดการหาดใหญ่ หลังจบด้านนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลับราชภัฏภูเก็ตก็เลือกที่จะเดินเข้าสู่วิชาชีพสื่อมวลชน กว่า 10 ปีมานี้ตระเวนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในองค์กรสื่อมาหลายแห่ง มีประสบการณ์ตรงกับเหตุการณ์สึนามิถล่มภาคใต้ของไทยเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 นั่นที่มาของบันทึกชิ้นนี้เพื่อเป็นการรวบรัดจึงขอแบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 ตอนจบ)
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
*** เมอรี่คริสมาสต์! 
 
รถยนต์ของศูนย์ข่าวแล่นไปตามถนนซึ่งตัดผ่านเนินเขาสูง ค่อยๆ ไต่ขึ้นยอดเขาแล้วทิ้งตัวลงมาตามลาดเนิน มุ่งหน้าสู่หาดป่าตอง
 
วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2547 ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคริสมาสต์ วันสำคัญของคริสตศานิกชน เมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติอย่าง จ.ภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาคริสต์ เดินทางข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนนับล้านคน ในแต่ละปีจะมีการจัดงานต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่หาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก
 
เราได้รับมอบหมายจาก บก.ให้ไปเก็บภาพ พร้อมรายงานบรรยากาศการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์ของนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับทุกๆ ปีที่ปฏิบัติ งานนี้ถือว่ามีความสำคัญ นักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันออกมาเฉลิมฉลองตามผับ บาร์ ต่างๆ รวมทั้งบริเวณริมหาดป่าตองบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
 
ผมให้คนขับรถตระเวนขับไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทางริมหาดป่าตอง ถนนสายหลัก วันนี้การจราจรคับคั่งเป็นพิเศษ ฝรั่งทั้งหัวขาว หัวดำ และหัวแดง พาลูกหลาน ออกมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าที่มีให้เลือกมากมายบนแผงขายของริมหาด บ้างนั่งดื่มกินกันบริเวณบาร์ ผับ และร้านอาหาร ทุกๆ คนมีรอยยิ้มปริ่มใบหน้า
 
เสียงอวยพร “เมอรี่คริสมาสต์” ดังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะๆ พวกเราแม้ไม่ใช่คริสเตียนแต่ก็พลอยมีความสุขและนึกอยากสนุกกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน เช่นเดียวกับพวกเขาที่ยังออกมาร่วมสนุกกับเทศกาลลอยกระทงของพวกเราทุกๆ เดือนพฤศจิกายน คาดคะเนกันว่าแค่คืนนั้นคืนเดียวยอดเงินเดินสะพัดจากการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวคงจะมีจำนวนหลายล้านบาท ถือเป็นรายได้มหาศาลที่ประเทศได้รับจากการท่องเที่ยว
 
บรรดาพ่อค้า แม่ค้า ผู้ให้บริการต่างๆ ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับรายได้ที่ได้รับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้วยความภาคภูมิใจ แม้ปรากฏการณ์นี้จะเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่มันก็ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในทางอ้อม
 
ทีมข่าวของเราตระเวนถ่ายภาพจนเป็นที่มั่นใจแล้วว่าเพียงพอต่อการรายงานข่าว จึงวนรถกลับทางเดิม บนเส้นทางริมหาดป่าตอง สีหน้าของพ่อค้า แม่ขาย ผู้ให้บริการตลอดจนบรรดานักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บรรยากาศของความสุขอบอวลไปทั่วชายหาด
คืนนี้ท้องฟ้าโปร่ง ดวงดาวสุกสกาวอยู่บนฟ้า ท้องทะเลเงียบสงบ เกลียวคลื่นค่อยๆ ทยอยเดินทางเข้ามากระซิบบอกความลับกับชายฝั่งอย่างแผ่วเบา  
 
“เมอรี่คริสมาสต์!”
 
เด็กชายชาวต่างชาติวัยกำลังซนเอ่ยทักทายเราด้วยรอยยิ้มน่าเอ็นดู แกสวมหมวกสีแดงทรงสูงปลายแหลมไว้บนหัว ขณะที่รถข่าวเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ผมคิดในใจว่าเช้าวันพรุ่งนี้พ่อแม่ของเด็กคงจะเตรียมของขวัญชิ้นสำคัญไปแอบใส่ไว้ในถุงเท้าที่แขวนไว้ปลายเตียงของลูกชาย แล้วบอกว่าซานตาคลอสเป็นผู้มอบสิ่งนั้นให้ แกคงมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับไม่น้อย คงแอบลุ้นอยู่ในใจว่าเฒ่าเคราขาวผู้ใจดีจะให้สิ่งใดเป็นของขวัญ
 
“เมอรี่คริสมาสต์” ผมเอ่ยตอบ ก่อนที่รถของเราจะเคลื่อนพ้นการจราจรอันคับคั่งในคืนคริสมาสต์ ณ หาดป่าตอง
 
*** แผ่นดินโยกโลกจะแตก! 
 
เก็บภาพบรรยากาศเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราทีมข่าวเดินทางกลับออฟฟิศ ทิ้งเทปไว้ให้ช่างภาพซึ่งอยู่เวรบนสถานีทำหน้าที่ตัดต่อส่งเข้าศูนย์ข่าวที่กรุงเทพฯ ในเช้าของวันอาทิตย์ คนที่หมดหน้าที่แยกย้ายกันกลับที่พัก ผมขี่รถมอร์เตอร์ไซด์ มุ่งหน้าไปหาดในยาง ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 25 กิโลเมตร เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตั้งใจว่าจะค้างที่นั่นเลย เพราะเช้าวันอาทิตย์เป็นวันหยุดที่แสนสุข ของผม แต่อย่างไรเสีย นักข่าวอย่างเราไม่มีใครอนุญาตให้ปิดโทรศัพท์มือถือ 
 
คืนนั้นเพื่อนเจ้าของบ้านเอ่ยปากชวนไปตั้งแคมป์ริมหาด ซึ่งพวกเรามักใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเป็นประจำในวันหยุด ทั้งในสมัยเรียน จนต่างคนต่างแยกย้ายกันทำงานแล้ว แต่ฟ้าไม่เป็นใจ คืนนั้นมีฝนตกลงมาเล็กน้อย แผนแค้มปิ้งจึงต้องพับไป ทำได้เพียงนั่งคุยกันในบ้าน เรานั่งคุยและเล่นไพ่สลาฟกันจนดึกดื่น ผมเข้านอนก็เมื่อตีสองล่วงไปแล้ว
 
...ลึกลงไปใต้มหาสมุทรอินเดีย ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย พรายน้ำแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแยกของผิวเปลือกโลก จำนวนของมันเพิ่มขึ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว สัตว์น้ำหนีหาย น้ำทะเลเหมือนอยู่ในหม้อต้มใบใหญ่ที่อุณหภูมิกำลังลุถึงจุดเดือด พรายน้ำขยายวงจากจุดหนึ่งลุกลามออกไปเป็นอีกหลายๆ จุดรอยแยกทอดตัวเป็นแนวยาว ผิวโลกด้านหนึ่งเหมือนถูกกดทับด้วยแรงมหาศาล
 
พลัน! แผ่นดินด้านหนึ่งถล่มลงไปอย่างรุนแรง ผิวเปลือกโลกที่เคยเป็นเนื้อเดียวกันบัดนี้มีสภาพเป็นหุบเหวลึกท้องน้ำปั่นป่วน สัตว์น้ำแตกตื่น โลกซีกนี้เหมือนถูกเขย่าอย่างรุนแรง สั่นสะเทือนไปทั่วผืนดินฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
 
...แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือกับเสียงเรียกเข้าที่ดังอย่างต่อเนื่อง ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากหลับ ยังไม่แปดโมงเช้า คนที่โทรเข้ามาคือ พี่ชาญ-ช่างภาพมือเก๋า
 
“โทษทีที่โทรปลุก แต่ตอนนี้มีแผ่นดินไหว” เสียงพี่ชาญบ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้น แกคงเกรงใจเพราะรู้ดีว่าผมเหลือเวลาทำงานที่นี่เพียงไม่กี่วันก็จะย้ายไปทำงานหนังสือพิมพ์แล้ว
 
“แผ่นดินไหว!” ผมอุทาน อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง
 
“เออ ไม่รู้กี่ริกเตอร์ ตอนเช้าพี่ล้างรถอยู่หน้าบ้าน อยู่ๆ รถไหวยวบยาบ เหมือนมีใครมาขย่ม เสาไฟฟ้าหน้าบ้านก็โงนไปเงนมา มึงรีบขึ้นไปที่สถานีเดี๋ยวพี่กับไอ้หมีจะไปที่ศูนย์อุตุฯ ดูว่ามันเกิดที่ไหน ถึงได้ไหวมาถึงนี่ แล้วก็อย่าลืมเขียนข่าว ส.ส.เรวุฒิตายไปให้กรุงเทพฯ ด้วย พี่ส่งภาพไปแล้ว รายละเอียดเขาแฟ็กมาให้แล้ว” พี่ชาญบอกแผน
 
“ผมไปด้วย” ผมรีบบอก พร้อมหยิบเสื้อมาใส่อย่างเร่งรีบ
 
“ไม่ได้ ที่สถานีไม่มีใครอยู่ มึงต้องรีบไปเขียนข่าวแจ้งให้กรุงเทพฯ รู้ ส่วนภาพพวกพี่จะทยอยเก็บไปให้”
 
“โธ่! โอเคๆ เอางั้นก็ได้ จะรีบออกไปเลย” ผมรับปากแล้ววางสายก่อนล้างหน้าล้างตาอย่างลวกๆ ขณะที่เพื่อนๆ ซึ่งนอนกองกันอยู่หน้าโทรทัศน์ภายในบ้านตื่นลืมตาขึ้นมาถามเหตุการณ์
 
“มีแผ่นดินไหว สะเทือนมาถึงภูเก็ต ต้องรีบไปแล้ว” ผมบอกเพื่อน แล้วรีบขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าขึ้นเขารังใจกลางเมือง อันเป็นที่ตั้งของสถานีข่าวช่อง 11 จ.ภูเก็ต
 
*** เมื่อผืนน้ำเป็นคลื่นคลั่ง ทรงพลังและเกรี้ยวกราด! 
 
หนุ่มใหญ่ผู้พิการ แขนซ้ายด้วน ขี่มอเตอร์ไซด์สามล้อ มาส่งลูกสาวและภรรยา ทั้งสองทำงานอยู่ที่แผนกซูเปอร์มาเก็ตตรงชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าชื่อดังริมหาดป่าตอง เขาบอกลาลูกสาวและภรรยา เขาแปลกใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้นตามปกติเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ออกรถไปโดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ยังคงเก็บเป้นความสงสัยไว้ในใจ ร้านรวงต่างๆ เปิดค้าขายเช่นปกติ คืนคริสมาสต์ที่แสนสุขผ่านพ้นไปแล้ว
 
...ใต้มหาสมุทรอินเดีย รอยแยกกินพื้นที่ยาว กว้าง และลึกสุดหยั่งจากการแยกตัวของเปลือกโลกน้ำปริมาณมหาศาลไหลแทรกลงไปในรอยแยก ดุจน้ำตกไหลลงสู่เบื้องล่างของหุบเหว
 
เช้า 26 ธ.ค.47 หาดป่าตองอากาศแจ่มใส ฟ้าโปร่ง สาวต่างชาติในชุดบิกินี่นอนหลับตาพริ้มให้แสงตะวันอ่อนๆ ลูบไล้ผิวกายเล่น ระลอกคลื่นโหนตัวขึ้นมาบนหาดทรายเพื่อบอกความลับบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถอยกลับสู่ทะเล
 
คลื่นหดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจน ชายชราวัยเลยเกษียณมองตามคลื่นที่ถอยร่นลงไปตลอดแนวชายหาดไม่วางตา
 
“Oh! my god”
 
ชายชราตะลึง สาวต่างชาติผงกศีรษะขึ้นมอง เธออ้าปากค้าง บัดนี้หาดทรายมีสภาพเหมือนหญิงสาวที่ร่างกายเปลือยเปล่า เมื่อน้ำทะเลซึ่งเป็นอาภรณ์ห่อหุ้มร่างถูกมือที่มองไม่เห็นปลดเปลื้องออกไปในฉับพลัน มันเย้ายวนและชวนให้ค้นหา ทั้งสองพร้อมใจกันเดินลงไปตามทางลาดหาด ปลาบางตัวว่ายตามน้ำไม่ทัน มันพลัดตกดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนลานทราย
 
...น้ำทะลักสู่รอยแยกใต้มหาสมุทรจนสุดความลึก เปลือกโลกอีกด้านทรุดตัวลงมาครืนใหญ่ รอยแยกสองฝั่งเคลื่อนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว น้ำถูกแรงบีบทะลักกลับด้วยกำลังมหาศาล เกิดเป็นคลื่นหมุนเกลียวแยกออกเป็นสองทาง เกลียวหนึ่งแยกไปทางฝั่งอินเดีย อีกเกลียวมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งด้านตะวันตกของไทยรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน
 
หน้าหาดป่าตอง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างสนุกสนานกับการวิ่งเก็บปลา หอย และสัตว์น้ำอื่นๆ บนผืนทราย บัดนี้ทะเลกลายสภาพเป็นลานกว้างสุดตา
 
ใครคนหนึ่งชี้นิ้วแล้วเอ่ยขึ้น
 
“มันกลับมาแล้ว!”
 
คนที่เหลือหันมองไปทางเส้นขอบฟ้า
 
เกลียวคลื่นเคลื่อนตัวกลับเข้าหาฝั่ง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดลานทรายเปลือยเปล่าก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำทะเลอีกครั้ง แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น คลื่นหนุนสูงขึ้นไปบนถนนชายฝั่งท่วมถนน แล้วมุ่งหน้าสู่บ้านเรือนร้านค้า คลื่นอีกลูกหนุนตามขึ้นมา ปริมาณน้ำสูงขึ้นท่วมหัว ผู้คนแตกตื่นพยายามดิ้นรนหนีตาย
 
พนักซูเปอร์มาเก็ต ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าริมหาดร่วม 20 ชีวิตต่างผงะ เมื่อน้ำทะเลทะลักเข้ามา เสียงกรีดร้องด้านนอกเร้าให้พวกเขารีบวิ่งกรูกันขึ้นมาข้างบน พอดีกับที่คลื่นลูกใหญ่เดินทางมาถึง มันโถมซัดเข้าไปในชั้นใต้ดินกลบเสียงหวีดร้องจนสนิท พร้อมหอบเอาเจ็ทสกี รถตุ๊กตุ๊ก และมอร์เตอร์ไซด์เข้าไปกระจุกอยู่ในนั้น บ้านเรือนร้านค้าจมอยู่ในทะเลคลั่ง
 
ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดแนวหาดป่าตอง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เหมือนถูกจับยัดใส่เข้าไปในเครื่องซักผ้ายักษ์ที่กำลังหมุนปั่นด้วยพละกำลังสูงสุด
 
สูงขึ้นไปบนเนินเขา ชาวมอร์แกนกลุ่มใหญ่ยืนดูภาพเหล่านั้นด้วยใจระทึก พวกเขาทิ้งเรือและบ้าน อพยพขึ้นไปหลบภัยอยู่บนนั้น ตั้งแต่เมื่อน้ำทะเลแห้งแล้ว...
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
*** ข่าวใหญ่ 
 
เสียงโทรศัพท์สำนักงานภายในห้องข่าวดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผมยังไม่ว่างที่จะรับสายเพราะพี่ชาญ โทรเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือพอดีเช่นกัน
 
“พี่ไปที่ศูนย์อุตุฯ มาแล้วนะ เขาบอกแต่ข้อมูลเบื้องต้นว่ามีแผ่นดินไหวที่อินโด ตอนนี้คอมพ์เจ๊งหมดแล้วใช้การไม่ได้เลย” พี่ชาญ กรอกเสียงมาตามสาย
 
“แล้วพี่จะขึ้นมาที่ออฟฟิศเลยรึเปล่า” ผมถาม
 
“ยังก่อน ชาวบ้านโทรมาแจ้งว่ามีแผ่นดินแยกที่เกาะกระทะ กับมีคลื่นใหญ่มากซัดขึ้นมาบนหาดป่าตอง พี่กำลังไปเกาะกระทะ ไอ้หมีไปป่าตอง มึงเขียนข่าวส่งกรุงเทพฯ ไปก่อนเลยเดี๋ยวพี่จะรีบเอาภาพไปให้”
 
ผมวางสายจากพี่ชาญแล้วรีบยกหูรับสายที่ต่อเข้ามาผ่านโทรศัพท์ของสำนักงาน
 
“สวัสดีครับ ช่อง 11 ครับ”
 
“สวัสดีค่ะ ขอแจ้งข่าวด่วนค่ะ ตอนนี้ที่หาดป่าตองมีคลื่นใหญ่มากซัดขึ้นมาบนหาด ร้านค้าแถวนี้พังหมดแล้ว”
 
เสียงผู้หญิงปลายสายเล่าเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น เธอบอกว่ามีคลื่นใหญ่ไม่เคยพบเห็นซัดขึ้นมาบนถนนริมหาด บ้านเรือนร้านค้าได้รับความเสียหาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน และมีผู้เสียชีวิตด้วยคนหนึ่ง เธอกำชับให้ผมรีบเสนอข่าว เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เข้าช่วยเหลือชาวบ้านทันท่วงที
 
อีกด้านหนึ่ง ถนนบนเนินเขาทางไปหาดป่าตอง พี่หมีนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถยนต์ของศูนย์ข่าว เกือบ 15 นาทีแล้วที่รถยังไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ มีรถยนต์จำนวนมากขับสวนทางมาจากหาด บางคันจอดนิ่งอยู่บนเนินเขาไม่ยอมขับไปไหนอีก คนในรถล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
 
พี่หมีตัดสินใจหิ้วกล้องลงจากรถยนต์ บันทึกภาพความวุ่นวายบนเนินเขา แล้วขออาศัยรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านเดินทางลงไปหน้าหาด กว่าจะถึงหน้าหาดป่าตองพี่หมีต้องโบกรถถึง 3 คัน มอเตอร์ไซด์คันสุดท้ายพาแกซ้อนไปจนถึงหน้าหาด ท่ามกลางความโกลาหลของนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในบริเวณนั้น คลื่นขนาดใหญ่ยังคงหนุนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บ้านเรือนร้านค้าต่างได้รับความเสียหายจากแรงของเกลียวคลื่น
 
ชายไทยคนหนึ่งแบกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสูงอายุไว้บนหลังวิ่งหนีคลื่นที่ไล่หลังมา พี่หมีบันทึกภาพพวกนี้ไว้ได้ขณะที่หัวใจเต้นระทึก ในชีวิตช่างภาพ แกไม่เคยเจอเหตุการณ์วุ่นวายขนาดนี้ เก็บภาพจนเป็นที่พอใจแล้วพี่หมีขออาศัยมอเตอร์ไซด์คันเดิมกลับขึ้นไปยังรถยนต์ของทีมงานที่จอดรออยู่บนเนินเขา แล้วมุ่งหน้ากลับสถานีทันที
 
ส่วนพี่ชาญซึ่งเดินทางไปเก็บภาพที่เกาะกระทะ รถยนต์ของแกเข้าไปได้เพียงครึ่งทางเข้าเกาะ ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อคลื่นซึ่งหนุนสูงเข้ามาท่วมถนนและหอบเอาเรือประมงของชาวบ้านหลายลำลอยขวางอยู่บนถนน ขณะที่บ้านพักคนงานก่อสร้างรีสอร์ทในบริเวณนั้นถูกคลื่นซัดเสียหายไปหลายหลัง พี่ชาญลงจากรถแล้วบันทึกภาพพวกนั้นไว้ ก่อนเดินทางกลับสถานี
 
ข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่คนไทยไม่เคยพบเคยเห็นกำลังจะถูกนำเสนอให้คนทั่วประเทศและทั่วโลกได้รับรู้พร้อมๆ กัน เราสันนิษฐานกันเอาเองว่าคลื่นยักษ์นี้ต้องเป็นผลมาจากแผ่นดินไหว แต่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่าอะไรดี
 
*** เขารัง 
 
กว่าข่าวของเราจะได้ออกอากาศเวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบ 11.00 น. ผู้ประกาศรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามรายละเอียดที่ส่งไปด้วยความตื่นเต้น ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์เป็นภาพที่หลายคนยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
 
คลื่นยักษ์โถมซัดสู่ชายฝั่งลูกแล้วลูกเล่า นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการร้านค้าหนีตายกันอย่างโกลาหล ชายไทยคนหนึ่งช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผู้ชราด้วยการให้แกขี่หลังแล้ววิ่งหนีคลื่นอย่างไม่คิดชีวิต ตัดสลับกับภาพคลื่นยักษ์ที่หาดลายัน เรือประมงขนาดเล็กหลายลำถูกคลื่นซัดขึ้นมาลอยลำอยู่บนถนน ขณะที่คลื่นยังหนุนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผืนน้ำที่เคยเงียบสงบอยู่ในสภาพปั่นป่วน เหมือนถูกคนด้วยมือยักษ์
 
เราเปลี่ยนช่องไปดูข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ภาพที่ปรากฏบนจอคือภาพชุดเดียวกันกับที่เราส่งไปออกอากาศที่กรุงเทพฯ ภายหลังออกอากาศไปไม่นานมีสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยโทรศัพท์เข้ามาขอสอยภาพอย่างไม่ขาดสาย ผมเป็นคนรับโทรศัพท์แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ จึงยื่นโทรศัพท์ให้ ผอ.และแกอนุมัติทันที ภาพข่าวของเราจึงกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ เหตุการณ์สึนามิในประเทศไทย ภาพแรกที่ออกสู่สายตาชาวไทย และทั่วโลก
 
บนเขารังซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานียามนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่หอบลูกจูงหลานหนีตายขึ้นมาอาศัยอยู่ ห้องน้ำของสถานีถูกเปิดเป็นห้องน้ำสาธารณะไปโดยปริยาย
 
บนเขาแห่งนี้เมื่อปี 2542 หลังจากที่ข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งดูแลเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ และภัยพิบัติต่างๆ ได้ออกมาเตือนว่าจะเกิดคลื่นสำนามิในประเทศไทยในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ทำให้มีประชาชนจำนวนมากอพยพขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อหนีตาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น พวกเขาจึงกลับลงไปพร้อมคำสาปแช่งด่าข้าราชการคนนั้นว่าสร้างเรื่องขึ้นมาโกหกชาวบ้าน หนำซ้ำยังส่งผลให้ธุรกิจของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ต้องซบเซาไปด้วยเนื่องจากนักท่องเที่ยวเกิดความหวาดกลัวต่อคำเตือนดังกล่าว
 
นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งยังคงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาแปลกใจที่คนขับรถตู้พาเขาขึ้นมาบนเขา แทนที่จะพาไปยังชายหาดซึ่งได้จองโรงแรมเอาไว้แล้ว เขาเข้ามาสอบถามหลายครั้งแต่ยังไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้
 
“After the earthquake the big wave it makes many people died.” ถูกไวยกรณ์หรือเปล่าไม่รู้แต่เราพยายามสื่อสารให้เขาเข้าใจให้มากที่สุด และบอกให้รอดูสถานการณ์ต่อไปอีกระยะ
 
เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงไปในระดับหนึ่ง และได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สนามบินว่านักท่องเที่ยวสามารถเดินทางออกจากภูเก็ตได้ คนกลุ่มนั้นจึงรีบเก็บข้าวของขึ้นรถตู้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะยังอยู่ที่ภูเก็ตต่อ หรือรีบขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพฯ เราแบ่งน้ำกับขนมปังที่มีคนนำมาบริจาคไว้ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ให้กับพวกเขา
 
“Thank you very much’ เขากล่าวเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงยังออกไปทางฝรั่งเศส “Good luck” ผมกล่าวอวยพรพร้อมโบกมืออำลาพวกเขา
 
“You too!” เขากล่าวตอบพร้อมโบกมือลา
 
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยยิ้มของพวกเขา นับตั้งแต่ถูกพาขึ้นมาหลบภัยบนเขารังตั้งแต่ช่วงเช้า และจากไปในตอนบ่าย
 
*** มันคือ สึนามิ!
 
เราทยอยส่งข่าวความคืบหน้าไปยังสำนักงานที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง ล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายทุกคนจึงได้รู้อย่างเป็นทางการว่าเหตุการณ์คลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นนี้คือ ‘สึนามิ’ ซึ่งข้าราชการในกรมอุตุนิยมวิทยาเคยเตือนเอาไว้ว่าพื้นที่ฝั่งอันดามันมีโอกาสเจอภัยพิบัติชนิดนี้ เพียงแต่เวลาคลาดเคลื่อน จากคนที่เคยถูกแช่งด่าจากชาวบ้านและนักธุรกิจ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสึนามิ สถานีข่าวช่องหนึ่งเชิญเขามาออกรายการเพื่อให้ความรู้เพิ่มเติมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 
สึนามิ แตกต่างจากคลื่นธรรมดามาก ตัวคลื่นสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกล โดยไม่สูญเสียพลังงาน และสามารถเข้าทำลายชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดหลายพันกิโลเมตรได้
 
โดยทั่วไปแล้วสึนามิซึ่งเป็นคลื่นในน้ำ จะเดินทางได้ช้ากว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ที่เป็นคลื่นที่เดินทางในพื้นดิน ดังนั้นคลื่นอาจเข้ากระทบฝั่งภายหลังจากที่ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวเป็นเวลาหลายชั่วโมง
 
สึนามิเกิดขึ้นจากการกระทบกระเทือนที่ทำให้น้ำปริมาณมากเกิดการเคลื่อนตัว เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม หรืออุกาบาตพุ่งชน
 
เมื่อแผ่นดินใต้ทะเลเกิดการเปลี่ยนรูปร่างอย่างกะทันหัน จะทำให้น้ำทะเลเกิดเคลื่อนตัวเพื่อปรับระดับให้เข้าสู่จุดสมดุลและจะก่อให้เกิดคลื่นสึนามิ การเปลี่ยนรูปร่างของพื้นทะเลมักเกิดขึ้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวเนื่องจากการขยับตัวของเปลือกโลก ซึ่งจะเกิดบริเวณที่ขอบของเปลือกโลกหลายแผ่นเชื่อมต่อกันที่เรียกว่า รอยเลื่อน (fault) เช่น บริเวณขอบของมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว ดินถล่มใต้น้ำที่มักเกิดร่วมกับแผ่นดินไหวสามารถทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้เช่นกัน
 
นอกจากการกระทบกระเทือนที่เกิดใต้น้ำแล้ว การที่พื้นดินขนาดใหญ่ถล่มลงทะเล หรือการตกกระทบพื้นน้ำของเทหวัตถุ ก็สามารถทำให้เกิดคลื่นได้ คลื่นสึนามิที่เกิดในรูปแบบนี้จะลดขนาดลงอย่างรวดเร็วและไม่มีผลกระทบต่อชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลมากนัก อย่างไรก็ตาม ถ้าแผ่นดินมีขนาดใหญ่มากพอ อาจทำให้เกิด เมกะสึนามิ ซึ่งอาจมีความสูงร่วมร้อยเมตรได้
 
สึนามิที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและประเทศริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เป็นผลมาจากการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ ในทะเลทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย รอยแยกใต้ทะเลส่งผลให้น้ำทะเลริมฝั่งลดตัวลงอย่างรวดเร็ว
 
ผมนึกถึงภาพตัวเองและเพื่อนๆ หากเราไปนอนหน้าหาดในยาง ในคืนนั้น รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาพบว่าน้ำทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว มีปลาจำนวนมากนอนดิ้นอยู่บนผืนทราย แม้จะแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราคงวิ่งกรูกันลงไปจับปลาพวกนั้นด้วยความสนุกสนาน มารู้ตัวอีกทีเราอาจถูกคลื่นซัดพาไปติดกับต้นไม้สักต้นหนึ่ง เพื่อนเราบางคนอาจถูกเกลียวคลื่นกลืนหายไปใต้ผืนทราย และอาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับความสนุกในวัยคึกคะนองของพวกเรา
 
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ เราไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ และไม่รู้จักเลยว่า ‘สึนามิ’ คืออะไร
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
*** ความตายที่ “เขาหลัก
 
บนเขารัง ผู้คนไม่ต่ำกว่า 2 พัน บ้างนั่ง บ้างนอน รอคอยข่าวจากทางการเพื่อจะกลับคืนสู่ที่อยู่อาศัย ธารน้ำใจจากหลายๆ ฝ่าย ทยอยหลั่งไหลขึ้นมาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างไม่ขาดสาย
ผมขี่มอเตอร์ไซด์ลงไปทำธุระส่วนตัวที่ปั๊มน้ำมันด้านล่าง โดยใช้เส้นทางผ่านด้านหลังโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ซึ่งเปิดประตูหลังไว้ให้ญาติมารอรับศพคนตายจากเหตุการณ์สึนามิ
 
ศพจำนวนมากถูกห่อด้วยผ้าขาววางอยู่บนเตียงเหล็ก ญาติที่มารอรับส่งเสียงร้องไห้ระงม ผมเบือนหน้าหลบ ไม่กล้าสบตากับญาติของคนที่สูญเสีย สายลมพัดมาปะทะต้นไม้บนเขากราวใหญ่ ใบไม้ร่วงพรู เหมือนน้ำตาหลายร้อยหลายพันหยดที่ร่วงรดผืนดิน
 
ภายในสำนักงาน เสียงโทรศัพท์ยังกรีดร้องขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ความคืบหน้าของสถานการณ์ถูกรายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับภาพเหตุการณ์จากจังหวัดใกล้เคียง ทั้งกระบี่ และพังงา ถูกทยอยส่งเข้ามาทำให้เราได้รู้ว่านอกเหนือจากจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากแล้วสถานที่ท่องเที่ยวริมทะเลของจังหวัดใกล้เคียงก็อยู่ในสภาพย่อยยับไม่แพ้กัน
 
เกือบถึงช่วงเย็นไปแล้วที่ผู้สื่อข่าวพิเศษจังหวัดพังงาของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งได้นำเทปบันทึกภาพมาขอส่งผ่านทางดาวเทียมของสถานีช่อง 11 เข้ากรุงเทพฯ หลังส่งภาพเสร็จ เรานำเทปดังกล่าวมาเพลย์ดูภาพที่เขาถ่ายไว้ได้
 
ชายหาดเขาหลักที่เคยสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวและตากอากาศระดับหรู ยามนี้ไม่แตกต่างจากกองขยะ เหมือนเมืองอันเคยรุ่งเรืองถูกพิษของสงครามทำลายย่อยยับ รีสอร์ท หรูราคาแพงเหลือเพียงซาก กองไม้และคอนกรีตถมทับอยู่บนร่างนักท่องเที่ยวที่หมดลมหายใจไปแล้ว
 
ซากรถยนต์หลายคันถูกคลื่นซัดกระจัดกระจาย บางคันขึ้นไปติดอยู่บนหลังคาบ้าน สีสันของพืชพรรณริมหาดที่เคยเขียวขจีบัดนี้มันถูกทาทับด้วยสีแห่งหายนะและความตาย ไม่มีใครปริปากพูด นานๆ ครั้งจึงจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากใครคนใดคนหนึ่งดังเล็ดรอดออกมา
 
ภาพคนตายที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ทำให้ผมเข้าใจคำว่า “รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ” หลังจากที่อ่านเจอในงานเขียนของนักเขียนหลายคนและไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้ว
 
แม้ไม่ใช่ญาติมิตร แต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ควรมาพบจุดจบเช่นนี้ บางคนอาจพาครอบครัวมาพักผ่อน คืนก่อนหน้านี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่บาดแผลดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้
 
กล้องแพนไปในมุมกว้างศพแล้วศพเล่าที่เราได้เห็น จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ศพหญิงชราคนหนึ่งแกอยู่ในสภาพนั่งคอตกหลังพิงต้นมะพร้าว คงถูกคลื่นซัดมาติดกับต้นมะพร้าว และคลื่นไม่สามารถพัดพาแกไปไหนได้อีกเมื่อรถบรรทุก 6 ล้อขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดมาอัดก๊อปปี้บนร่างของแกซ้ำอีกที และสิ้นใจอยู่ตรงนั้น
 
พี่เหน่ง ผอ.ช่อง 11 ภูเก็ต เกือบปล่อยโฮกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า พวกเราทุกคนมีสีหน้าสลดไม่แพ้กัน
 
ช่วงเย็นของวันนั้น เราได้รับข่าวร้ายเพิ่มเติมเข้ามาอีกว่ามีเชื้อพระวงศ์เดินทางมาพักผ่อนตากอากาศที่ชายหาดเขาหลัก และประสบเหตุร้ายครั้งนี้ด้วย จนกระทั่งเช้าวันที่ 27 ธันวาคม 2547 จึงมีการแถลงอย่างเป็นทางการว่าคุณพุ่ม เจนเซ่น โอรสในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ถึงแก่กรรมในเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้ ขณะกำลังเล่นเจ็ตสกีอยู่ในทะเลหน้าหาดลาฟลอร่ารีสอร์ท ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ในเช้าวันนั้น
 
*** ในทอน 
 
27 ธันวาคม 2547 เราออกตระเวนสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ตั้ง ใจจะดูให้ทั่วทั้งเกาะภูเก็ต ผมบอกให้ทีมงานเดินทางไปหาดในยางก่อน
 
หาดในยางตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ คืนก่อนเกิดเหตุผมเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง บ้านของเขาอยู่ในชุมชนชาวมุสลิมห่างจากชายหาดไม่ถึง 500 เมตร
 
สมัยเรียนพวกเราชอบไปพักผ่อนหรือทำกิจกรรมวิชาเรียนกันที่นี่ หาดในยางเป็นชายหาดสาธารณะไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่บนเกาะภูเก็ต ชายหาดหลายแห่งถูกยึดครองโดยรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศและโรงแรม มีชาวต่างชาติหลากหลายเดินทางมาใช้บริการ สามารถหาดูบิกินี่ลายสวยๆ ได้ในทุกๆ ฤดูส่งเสริมการท่องเที่ยว    
 
คืนนั้นเพื่อนของเราคนหนึ่งชวนไปนั่งเล่นและค้างแรมที่หาดในยาง ตั้งใจจะก่อไฟปิ้งปลาปูและดื่มกันพอหอมปากหอมคอตามประสาคนหนุ่ม เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ทุกคนเตรียมพร้อมออกไปหน้าหาดแต่แล้วแผนก็ล้มเหลว จู่ๆ สายฝนโปรยลงมาโดยไม่มีเค้า นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่แผนแคมปิ้งริมทะเลคืนนี้ต้องยุติ เพราะหากออกไปก็อาจไม่สนุกอย่างที่คิด
 
ถ้าฝนไม่ตกเราเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะฟันธงได้เลยว่าทุกคนต้องเมา เช้าวันอาทิตย์เป็นวันหยุดเหมาะแก่การนอนตื่นสาย และเมื่อคลื่นสึนามิขึ้นมาถล่มเราก็คงจะหลับฝันหวานไปตลอดกาลเลยก็ได้ งานนี้ต้องขอบคุณฝนที่ตกลงมาเตือน  
 
เรานั่งรถมุ่งหน้าไปตามถนนเทพกระษัตรี เลี้ยวซ้ายตรงสามแยกก่อนถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ต เส้นทางที่จะไปหาดในยางต้องผ่านทางเข้าหาดในทอน จึงตัดสินใจแวะเข้าไปสำรวจหาดในทอนก่อน
 
เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าไปที่หาดในทอน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยว รวมทั้งไม่มีธุระสำคัญอะไรที่จะไป รู้เพียงมันเป็นหาดทรายที่ซ่อนตัวอยู่ในอ่าวเล็กๆ รถยนต์เราไต่ขึ้นเนินเขาชันแล้วทิ้งตัวลงสู่ถนนที่ทอดตัวขนานไปกับแนวชายหาด
 
ในทอนที่เห็นในวันนั้นหาดทรายสีขาวสวยนวลตาทอดตัวโค้งไปทางทิศเหนือจรดปลายแหลมหิน ขณะที่ทิศใต้มีลักษณะเป็นแหลมหินเช่นกัน จุดนี้จึงเป็นที่กำบังลมได้ดีสำหรับชาวประมงที่หาปลาริมฝั่ง อ่าวเล็กๆ โอบกอดหาดทรายไว้อย่างอบอุ่น ทะเลเงียบสงบ คลื่นเดินทางมาหยอกล้อกับหาดทรายเบาๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
 
ในทอนถูกคลื่นสึนามิถล่มจนร้านค้าที่ส่วนใหญ่ปลูกเป็นเพิงไม้ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด
คลื่นไหลกลับลงทะเลเมื่อการขยับตัวของโลกอ่อนแรงลง ทิ้งเศษขยะ เศษไม้และซากความเสียหายไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ชายหาดโดยรวมก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนักหาดทรายยังไม่เว้าแหว่งเสียรูปเสียทรง วันเกิดเหตุเราไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตที่นี่ แต่ตอนนี้ทีมงานคนหนึ่งเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนชายหาด
 
“คนรึปล่าววะ มีเสื้อชูชีพด้วย” เขาชี้ให้พวกเราดู
 
ช่างภาพเตรียมกล้องถ่ายพร้อม เรารีบเดินลงไปดูเผื่อเป็นร่างของผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจะได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่มาทำการช่วยเหลือ เราย่ำไปบนหาดทรายเพียงไม่กี่ก้าว ปริศนาเมื่อสักครู่ก็ถูกเฉลย ร่างที่เห็นคล้ายคนนอนอยู่ที่แท้ก็เป็นเสื้อชูชีพที่ลอยมาติดกับขอนไม้
 
“บางทีเจ้าของเสื้อตัวนี้อาจตายไปแล้วก็ได้” ช่างภาพเอ่ยขึ้น
 
“งั้นไปกันต่อดีกว่า” ผมว่า
 
เราเดินทางออกจากหาดในทอนมุ่งหน้าไปหาดในยาง ผมคิดในใจ
 
 “อย่างน้อยก็ได้มาเที่ยวแล้วครั้งหนึ่ง”  
 
*** ในยาง 
 
เราเดินทางออกจากหาดในทอน แล้วมุ่งหน้าไปที่หาดในยางโดยไม่แวะที่ไหนอีก ทันทีที่รถไปถึงถนนหน้าหาด ภาพที่เห็นมีแต่ความเสียหาย เศษซากของความรุนแรงยังเหลือเค้าให้พวกเราบางคนถึงกับขนลุก
 
บ้านพักตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ถูกคลื่นพัดทำลายเสียหายย่อยยับทุกหลังไม่ว่าจะเป็นบ้านพักริมหาด หรือที่อยู่ลึกเข้าไปในแนวป่า ความเสียหายที่ปรากฏเป็นสิ่งสะท้อนให้เราเห็นถึงพลังอันมหาศาลของธรรมชาติ และยิ่งตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
 
แม้มนุษย์เราจะใช้วิทยาศาสตร์ต้านทานอำนาจของธรรมชาติได้ในบางเรื่อง เช่น การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ หรือสร้างจรวดกำลังสูงต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกทะยานขึ้นไปสำรวจอวกาศได้สำเร็จ
 
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่เราค้นพบ สิ่งเหล่านั้นล้วนแฝงตัวอยู่ในทุกอนูของธรรมชาติรอเพียงจังหวะเวลาที่เหมาะสม มันก็พร้อมจะสำแดงออกมาให้เราได้พรั่นพรึงเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ วิทยาศาสตร์เป็นความตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและโลกใบนี้
 
ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงจำนวนมากออกมาตรวจตราดูความเสียหายของหาดในยางด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมกับจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ลานทรายหน้าหาดที่ผมและเพื่อนๆ ชอบใช้เป็นลานแคมปิ้งขณะนี้มีเศษขยะกองอยู่เกลื่อนทั่วพื้นที่ ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าขยะพวกนี้เป็นขยะที่อยู่บนบกแล้วถูกคลื่นทะเลกวาดมากองอยู่หน้าหาด หรือเป็นขยะจากท้องทะเลถูกคลื่นซัดขึ้นมากองอยู่บนบก แต่จำนวนของมันมีมากพอที่จะทำให้ความสวยงามของหาดทรายขาวแห่งนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
 
รถยนต์ของศูนย์ข่าวแล่นไปตามถนนหน้าหาด เราหยุดบันทึกภาพเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงที่ได้รับความเสียหายมาก เช่น อาคารสำนักงานอุทยาน บ้านพัก และรถยนต์ที่ถูกคลื่นพัดพาไปเกยติดอยู่กับต้นไม้ แล้วจู่ๆ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นสวนทางมา แม้จะอยู่อีกไกลแต่เราเห็นได้ชัดว่าเขามีสีหน้าตื่นตระหนก ในมือถือวิทยุสื่อสารของทางราชการ สันนิษฐานว่าเขาน่าจะเป็นลูกจ้างของอุทยาน
 
“รีบหนีออกไปมีวิทยุแจ้งมาว่าคลื่นกำลังมา” ชายคนนั้นตะโกนเสียงดัง
 
ชาวบ้านที่จับกลุ่มกันแตกฮือคนที่เดินรีบจ้ำอ้าวออกไปจากพื้นที่เสี่ยง คนที่พารถจักรยานยนต์รีบสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไปอย่างตื่นตระหนก เราหยุดรถแล้วมองไปในทะเล ผมเองก็ตื่นเต้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทะเลยังเงียบสงบไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรง
 
“รีบหนีออกไปเลยเร็วเข้า” ชายคนนั้นตะโกนดังใกล้เข้ามา
 
เราจึงตัดสินใจกลับหัวรถมุ่งหน้าออกไปทางถนนใหญ่ แล้วย้อนกลับไปดูอีกด้านหนึ่งของหาด โทรศัพท์สอบถามสถานการณ์ พร้อมเปิดวิทยุฟังแต่ไม่มีวี่แววว่าหน่วยงานรัฐจะแจ้งเหตุร้ายตามที่ชายคนนั้นกล่าว เราจอดรถอยู่ตรงหน้าหาด มองทะเลที่เงียบสงบ ผมไม่รู้จุดประสงค์ของชายคนนั้น เขาอาจฟังข่าวมาผิดๆ หรืออาจตกใจจนเกินเหตุ หรืออาจไม่ต้องการให้นักข่าวบันทึกภาพความเสียหายของสถานที่ราชการ
 
ธรรมชาติจะส่งสัญญาณบอกเหตุเสมอ ก่อนที่จะมีความผิดปกติเกิดขึ้น อยู่ที่เราจะเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแตกต่างกับจิตใจของมนุษย์ที่ลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร เปราะบางเหมือนแก้ว และแปรปรวนยิ่งกว่าพายุร้าย
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
*** ขุมเหมืองมรณะ 
 
จากหาดในยางเรามุ่งหน้าต่อไปหาดบางเทา ที่นี่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากบ้านเรือนประชาชนริมชายหาด ร้านค้าต่างๆ ถูกคลื่นซัดเรียบ เสาไฟฟ้าโค่นล้มระเนระนาด รถยนต์หลายคันหงายท้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามากู้ซาก
 
ส่วนในป่าชายเลนริมลำคลองที่ทอดตัวออกไปสู่ชายหาดมีเรือประมงทั้งเล็กและใหญ่หลายลำกระจุกตัวอยู่ด้วยฤทธิ์ของคลื่น
 
จากบางเทา เราไปต่อยังหาดสุรินทร์ ที่หาดสุรินทร์นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งช่วยกันเก็บขยะที่กองอยู่เต็มบนหาดทราย ร้านค้าร้านขายที่ตั้งอยู่ริมหาดไม่ได้รับความเสียหายจากคลื่นสึนามิ คงเป็นเพราะชายหาดถูกคุ้มครองโดยอ่าวที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะและโขดหิน คลื่นจึงทำได้เพียงหอบเอาขยะขึ้นมาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
 
 ขยะเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของมนุษย์เราที่ช่วยกันทิ้งคนละชิ้น คนละชิ้น จนเต็มเกลื่อนทั้งบนชายหาดและใต้ทะเล เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งทะเลก็สำรอกเอาเศษขยะเหล่านั้นออกมาให้เป็นภาระของมนุษย์ต้องช่วยกันรับผิดชอบในที่สุด
 
ออกจากหาดสุรินทร์เรามุ่งหน้าต่อไปยังหาดกมลา เพื่อนของผมคนหนึ่งมีบ้านและร้านค้าอยู่ริมทะเลบริเวณหาดนี้ ผมเคยมาร่วมทานข้าวกับครอบครัวของเพื่อนคนนี้หลายครั้ง อยากรู้เหลือเกินว่าบ้านของเพื่อนจะได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหนและขณะนี้พวกเขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร
 
ก่อนถึงย่านชุมชนหน้าหาดกมลา เราต้องแวะข้างทางอีกครั้งเมื่อพบว่ามีชาวบ้านจำนวนมากมามุงดูการกู้ซากศพ และรถยนต์ขึ้นมาจากขุมเหมืองหน้าหาด ขุมเหมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของถนนในกรณีที่ไปจากหาดสุรินทร์ ส่วนด้านขวาของถนนเป็นกุโบร์หรือหลุมฝังศพของชาวมุสลิม มีขยะขึ้นมากองเกลื่อนอยู่บนหลุมฝังศพ ในขณะที่ป่ามะพร้าวริมหาดมีซากรถยนต์หลายคันถูกคลื่นซัดไปติดอยู่
 
เราลงไปดูบริเวณขุมเหมือง ไม่มีใครบอกได้ว่าขุมเหมืองนี้มีความลึกกี่เมตร ได้ยินเพียงแต่ว่ามันลึกมาก จากขุมเหมืองดีบุกเก่ากลายเป็นแหล่งน้ำจืดให้กับชุมชน บัดนี้มันกลายเป็นนรกสำหรับใครหลายคนและหลายครอบครัว
 
เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกว่ารถยนต์ของเขาจมอยู่ในขุมเหมืองนี้ เขาเล่าว่ากำลังขับรถยนต์ผ่านมาทางถนนริมหาด อยู่ๆ น้ำทะเลท่วมสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หันมองไปทางขวาเห็นขุมเหมืองใหญ่ยักษ์อ้าปากรออยู่ ขืนยังนั่งอยู่ต่อไปอาจติดอยู่ในรถที่ถูกคลื่นซัดจมลงไปในเหมืองจึงตัดสินกระโดดลงจากรถแล้วรีบปีนขึ้นต้นมะพร้าวหนีตาย มองดูรถตัวเองและรถคนอื่นอีกหลายคันถูกคลื่นซัดจมลงไปในขุมเหมืองลึกด้วยความระทึกใจ ต่างกันเพียงคันอื่นผู้โดยสารและคนขับยังอยู่ในรถ!
 
“ผมมาเฝ้าแต่เช้าแล้วยังหารถไม่พบเลย” เขาบอก
 
รถเครนของเจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงลำเลียงซากรถยนต์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านเล่าว่ามีรถตู้คันหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาประมาณ 8 คน ถูกคลื่นซัดจมหายลงไปยังหาซากไม่พบ
 
ขณะที่ลูกสาวของเจ้าของบ้านริมขุมเหมืองก็กลายเป็นศพจมอยู่ก้นขุมเหมืองยังหาศพไม่พบเช่นกัน ตอนเกิดเหตุเธอนอนดูทีวีอยู่ในบ้านเช่นปกติ คลื่นเข้ามากระชากร่างเธอจมหายลงไปในขุมเหมืองโดยที่ไม่มีใครช่วยได้ทัน
 
ประมาณการกันว่ามีผู้เสียชีวิตในขุมเหมืองดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 100 คน และยังหาศพไม่พบ เราฟังแล้ว ได้แต่ขนลุก!
 
*** กมลา กำสรวล 
 
จากขุมเหมืองนรกแห่งนั้นเราแล่นรถต่อไปเพียงเล็กน้อยก็ถึงปากทางเข้าหาดกมลา เดิมทีจะมีร้านค้าเรียงรายตลอดสองข้างทาง บัดนี้ร้านค้าพวกนั้นพังเสียหายยับเยินหาเค้าเดิมแทบไม่ได้ ซากปรักหักพังของบ้านเรือนถูกคลื่นกวาดมากองอยู่บนถนน
 
เจ้าหน้าที่หลายนายช่วยกันรื้อซากบ้านเรือนและเคลียร์กองขยะบนถนนเพื่อให้รถบรรทุกสามามารถเข้าไปขนขยะออกมาได้อย่างสะดวก
 
ผมพยายามมองหาบ้าน “บอย” เพื่อนสนิท ที่ตั้งอยู่หน้าหาด หลังจากถูกคลื่นสึนามิ บ้านแต่ละหลังมีสภาพไม่แตกต่างกัน คือพังเสียหาย จนยากที่จะจำได้ว่าแต่ละหลังเป็นบ้านใคร
 
หลังจากที่บอยลาออกจากการเรียนกลางคัน ผมเลยไม่ค่อยได้มาเที่ยวที่บ้านย่าของเขาที่หน้าหาดกมลาเหมือนสมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน แต่เราก็ยังติดต่อและนัดเจอกันตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย บ้านในตัวเมืองที่พ่อกับแม่เขาอาศัยอยู่เปิดรับเราเสมอ หม้อหุงข้าวที่นั่นไม่เคยว่าง กับข้าวมีอยู่ในตู้เป็นประจำ
 
“ถ้าหิวก็มากินได้ตลอดเวลา” แม่ของบอยกำชับไว้อย่างนั้น
 
“ข้าวน่ะกินกันให้มากๆ หน่อย อย่ากินแต่เหล้ากันมากนัก” ย่าของบอยชอบพูดแบบนี้เวลาที่เห็นเราตักข้าวกินกันน้อย
 
ผมมองหาอยู่นานในที่สุดก็พบสัญลักษณ์ที่จำได้ติดตา เพียงแต่ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นบ้านย่าของเพื่อน ที่พวกเราเคยมานอนมากินอยู่หลายครั้ง เป็นบ้านไม้เก่าแก่ ด้านหน้าถูกดัดแปลงเป็นบาร์ขายเครื่องดื่มให้กับนักท่องเที่ยว เสาทั้ง 5 ต้นของศาลาเป็นพื้นที่พิเศษนักท่องเที่ยวทุกคนสามารถขีดเขียนอะไรไว้ก็ได้ตามที่ต้องการเพื่อเป็นที่ระลึกในการมาเยี่ยมเยือน
 
พวกเราทุกคนก็ทำแบบเดียวกัน เราเขียนชื่อและวันที่ไว้บนเสาเพื่อระลึกถึงวันที่เรามาเยี่ยมสถานที่นี้เป็นครั้งแรก
 
ตอนนี้เสาเหลืออยู่เพียงต้นเดียว หลังคาของมันพังทลายลงมาหมดสิ้น ตัวบ้านด้านหน้าถูกคลื่นซัดพังเสียหายทั้งหมด มีเพียงบ้านพักนักท่องเที่ยวที่ยังเหลือเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง
 
ผมเดินสำรวจไปทางด้านหลัง เห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งลอดออกมาทางรูโหว่ของผนังบ้าน จำได้ว่าเขาคือต๋อง หลานของบอย ผมดีใจมากที่เจอเขา
 
“จำพี่ได้มั้ย” ผมถาม
 
“จำได้ เพื่อนโกบอยใช่มั้ย?” เขาตอบแล้วถามกลับ
 
“ใช่ๆ แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด” ผมถามอีก
 
“ตอนนี้อยู่ที่วัด” ต๋องตอบ น้ำเสียงเขาเศร้าลงทันที
 
“ทำไมต้องไปอยู่กันที่วัด” ผมถามอีก
 
“ย่าเสียแล้ว ถูกสึนามินี่แหละ ศพตั้งอยู่ที่วัดเชิงทะเล ส่วนโกบอยอยู่โรงพยาบาล”
 
ต๋องเล่าว่าตอนเกิดเหตุคลื่นมาเร็วมากทุกคนต้องรีบหนีไปอยู่บนเนินเขาอีกฟากของถนนรวมทั้งย่า เมื่อปลอดภัยดีแล้วย่านับหลานๆ ทุกคนแต่พบว่าหายไปคนหนึ่งจึงกลับลงไปตามหา บอยตามลงไปด้วย ย่าลงมาถึงบ้านโดยไม่รู้ว่าหลานที่กำลังตามหาอยู่นั้นหลบอยู่บนเนินเขาเพียงแต่ไม่มีใครเห็นเพราะสถานการณ์วุ่นวายไปหมด
 
ทันใดนั้นคลื่นลูกที่สองซึ่งสูงกว่าหลังคาบ้านก็ซัดขึ้นมาบนหาด บ้านเรือนจมมิดหายไปใต้น้ำ บอยคว้ามือของย่าไว้ได้พยายามประคับประคองพากันหนีเอาตัวรอด แต่แล้วคลื่นอีกลูกก็ซัดขึ้นมา มือของทั้งสองหลุดออกจากกัน
 
เวลาผ่านไปนาน น้ำทะเลคลายจากความปั่นป่วน บอยถูกสังกะสีบาดที่ขาเป็นแผลเหวอะหวะถูกส่งไปโรงพยาบาลในเวลาต่อมา
 
ส่วนย่า...นอนหมดลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้ข้างบ้านเกิดของแกหลังนี้ 
 
*** ไซเรนปริศนา 
 
ยังคงเป็นวันที่ 27 ธันวาคม 2547 คล้อยหลังเพียง 1 วัน หลังจากคลื่นมหาประลัย ‘สึนามิ’ ถาโถมขึ้นมาบนผืนแผ่นดินสถานการณ์โดยทั่วไปยังอยู่ในความโกลาหลอลหม่าน ปะปนไปด้วยความโศกเศร้า และความตื่นตระหนก การค้นหาศพผู้เสียชีวิต และผู้ที่คาดว่าอาจจะยังมีชีวิตดำเนินไปอย่างเข้มข้น
 
จากหาดกมลาเรามุ่งหน้าต่อไปยังชายหาดป่าตอง ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่เราได้รับรายงานถึงภัยร้ายที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยทั้งในท้องถิ่นและที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อค้นหาร่างผู้เสียชีวิตให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะบริเวณที่เคยเป็นชั้นใต้ดินของห้างหน้าหาดเชื่อว่ามีคนจำนวนมาก ถูกคลื่นซัดเข้าไปติดอยู่ภายใน
 
เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าศพที่พบตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีไม่ต่ำกว่า 20 ศพเข้าไปแล้ว ต้องเร่งดูดน้ำออกจากชั้นใต้ดินโดยด่วน พร้อมกับส่งทีมประดาน้ำลงค้นหาศพผู้เสียชีวิต ต่อหน้าญาติๆ ที่มาเฝ้ารอรวมทั้งไทยมุง และฝรั่งมุงอีกไม่น้อย หลายคนบอกว่ามาตามหาเพื่อน พี่ น้อง ลูกสาว ที่ทำงานอยู่แถวนี้ และยังหาตัวกันไม่พบ
 
ตรงนั้นผมเห็นชายแขนด้วนยืนสะอื้นไห้อยู่คนเดียว เมียและลูกสาวของเขาเป็นพนักงานชั้นใต้ดินแห่งนี้ และยังหาตัวไม่พบ......
 
ขณะที่กำลังใจจดใจจ่อกับสิ่งที่นักประดาน้ำงมขึ้นมา จู่ๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัย 3-4 คน กระโดดขึ้นรถกระบะที่มีหลังคาไฟเบอร์ครอบทับช่วงท้าย คนขับรถเข้าประจำที่ เหมือนกับเพิ่งได้รับแจ้งเหตุด่วน แต่ไม่มีใครบอกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อึดใจเดียวเสียงสัญญาณไซเรนก็กรีดร้องขึ้น เสียงของมันหวีดหวิวจนทำให้ขวัญของใครๆ หลายคนที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ต้องแตกกระเจิงเอาเสียง่ายๆ มันดังอยู่ประมาณ 10 วินาที เจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
 
“รีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ คลื่นกำลังมา”
 
เพียงแค่นั้น ไทยมุง ฝรั่งมุง ผู้ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์คลื่นยักษ์มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้ ประมาณว่าน่าจะมีจำนวนเกิน 200 คน ก็พากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากบริเวณหน้าหาดป่าตอง สถานการณ์มีแต่ความสับสนอลหม่าน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คลื่นจะมาจริงหรือไม่ ใครเป็นคนแจ้ง แต่เท้ามันก็พาวิ่งออกไปเกือบจะถึงถนนใหญ่แล้ว      
 
ไปถึงถนนใหญ่โดยติดอยู่ในกลุ่มนำ นึกสงสารคนที่ถูกรถมอเตอร์ไซค์ชน วิ่งเหยียบกัน ภาพผู้หญิงที่หน้าตาตื่นตกใจสุดขีด เด็กๆ ที่ตะโกนร้องไห้โดยไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น
 
ผมรอดูสถานการณ์อยู่ประมาณ 5 นาที จึงกลับเข้าไปอีกครั้ง เพื่อไปดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น มาถึงพบว่า ช่างภาพของผมยืนหัวเราะอยู่ที่เดิม
 
“ทำไมไม่วิ่งล่ะ” ผมถาม เขาตอบว่าไม่มีอะไรเลย ทำให้ยิ่งสงสัยว่า แล้วที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยมันเปิดสัญญาณไซเรนไปทำไม เพื่ออะไร ???
 
“ตอนที่ผมวิ่งไป ที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ผมถามอีกครั้ง
 
“ตอนนายวิ่งออกไป ผมก็จะวิ่งด้วย แต่ไม่เห็นมีอะไรเลยไม่วิ่ง เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเขาดึงอะไรขึ้นมาจากชั้นใต้ดินไม่รู้ มันเป็นกล่องใหญ่ๆ แล้วเขาก็ขนขึ้นรถขับออกไป แต่ไม่ใช่ศพแน่นอน” เขาบอก
 
ผมยิ่งสงสัย ตั้งแต่ช่วงเช้าเราเห็นหน้าที่กู้ภัยนำห่อผ้าสีขาว บรรทุกรถไปหลายเที่ยว มั่นใจว่าไม่ใช่ศพ แล้วมันคืออะไร? เขาพาไปไหน? ที่สำคัญทำไมถึงต้องมีการเปิดสัญญาณไซเรนดังลั่นแล้วตะโกนบอกให้คนวิ่ง
 
เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้ ไม่เพียงเกิดขึ้นที่หน้าหาดป่าตองเพียงที่เดียว แต่มันยังเกิดขึ้นที่ชายหาดเขาหลักด้วย???
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
*** สันทรายช่วยชีวิต 
 
หลังออกจากหาดป่าตองเรามุ่งหน้าไปสำรวจพื้นที่หาดกะตะ กะรน ที่หาดกะตะ กะรน ถนนหน้าหาดเต็มไปด้วยทรายที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาพร้อมน้ำทะเล แต่เราเห็นความเสียหายน้อยมากหากเทียบกับชายหาดอื่นๆ ที่อยู่ในทิศทางเดียวกัน เช่น หาดป่าตอง ซึ่งเสียหายหนักจากคลื่นสึนามิ
 
เหตุที่หาดกะตะ กะรน ได้รับความเสียหายน้อยเนื่องจากบริเวณหน้าหาดมีแนวสันทรายสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ทอดตัวขนานไปกับชายหาดและถนนเลียบริมหาด คลื่นที่เคลื่อนตัวขึ้นมาถูกแนวสันทรายนี้กีดขวางไว้จนไม่สามารถทำความเสียหายให้กับร้านค้า บ้านเรือนริมหาดได้ มันทำได้เพียงชะเอาทรายบนสันทรายลงมากองอยู่บนถนน น้ำทะเลส่วนหนึ่งเอ่อท่วมบ้านเรือนร้านค้า แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายเพราะคลื่นอ่อนแรงลงหลังจากปะทะกับสันทราย
 
ปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ที่มีแนวป่าชายเลนกั้นขวางเอาไว้ เช่นที่ จ.พังงา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีป่าชายเลนมากที่สุดในประเทศไทย บางพื้นที่ได้รับความเสียหายน้อยเนื่องจากแนวป่าชายเลนสามารถลดความรุนแรงของคลื่นลงได้ เมื่อมันเคลื่อนตัวถึงบ้านเรือนริมทะเลอำนาจในการทำลายล้างก็สลายไปหมดสิ้นแล้ว
 
ภายหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิขึ้นเริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ป่าชายเลนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในหลายพื้นที่ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ถูกจัดให้เป็นปราการที่สำคัญสำหรับป้องกันมรสุมและคลื่นสึนามิที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงทรัพยากรเหล่านี้ควรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาตั้งนานแล้ว
 
ในขณะที่พื้นที่สันทรายริมหาดกะรน ซึ่งสามารถป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านไว้ได้ก็ได้รับความสำคัญมากขึ้น เจ้าของโรงแรมที่เคยแสดงเจตนาว่าจะขุดสันทรายเหล่านี้ออกโดยอ้างว่าบดบังทัศนียภาพของชายหาดหน้าโรงแรมคงไม่คิดที่จะทำอย่างนั้นอีกต่อไป
 
ในเมื่อความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้ภัยธรรมชาติจะทำร้ายชีวิตมนุษย์ได้ แต่สิ่งที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติก็สามารถช่วยชีวิตมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเราเห็นความสำคัญของมัน
 
“ธรรมชาติรังแกเรา”
 
ผมได้ยินคำพูดนี้จากปากของนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง คำพูดนี้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงในสมอง ผมพยายามใช้เหตุผลทั้งหมดเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนว่าบนโลกใบนี้ระหว่างการดำรงอยู่ของเราและการดำรงอยู่ของธรรมชาติทั้งหมด เราอยู่กันแบบไหน ใครคุกคามใคร ใครรังแกใคร และใครเกื้อกูลใครกันแน่
 
ถ้าปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ดังนั้นเราจะอธิบายเรื่องฝนตกว่าอย่างไร เมื่อฝนตกสามารถทำให้คนเป็นหวัด หรืออาจก่อให้เกิดอุทกภัยได้ แต่เราก็ได้ประโยชน์จากน้ำฝนเหมือนกันไม่ใช่หรือ
 
ผมสรุปเอาเองว่ามนุษย์ต่างหากที่พยายามรังแกและเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตผมเห็นว่าธรรมชาติเป็นผู้ “ให้” มากกว่า “รับ”
 
และกับสันทรายหน้าหาดกะรนที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หากชาวบ้านยอมให้เจ้าของโรงแรมขุดมันออก ดีไม่ดีนักการเมืองท้องถิ่นคนนั้นอาจถูกธรรมชาติรังแกเอาจริงๆ จนไม่เหลือชีวิตมาพูดอะไรแบบนั้นอีกก็เป็นได้
 
*** เกาะกะทะ 
 
ย่างเข้าสู่วันที่ 3 หลังเหตุการณ์คลื่นมหาประลัย “สึนามิ” ก่อนหน้านี้เราออกสำรวจพื้นที่รอบเกาะภูเก็ตและพบว่าหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในขณะที่บางพื้นที่เสียหายน้อย หรือไม่เสียหายเลยก็มี
 
ทีมข่าวปรึกษาหารือกันว่าจะนำเสนอข่าวประเด็นไหนต่อดี แน่นอนว่าทิศทางการนำเสนอข่าวของช่อง 11 ต้องเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในด้านต่างๆ โดยหน่วยงานราชการหลายหน่วยหลายกระทรวงต่างระดมทรัพยากรที่มีอยู่มาบริการประชาชน
 
ช่อง 11 ซึ่งเป็นสถานีข่าวในกำกับของรัฐจึงต้องทำหน้าที่นำเสนอข่าวพวกนี้ออกไปให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วถึงกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าการทำงานของเรากำลังกลับเข้าอีหรอบเดิมคือไม่มีอะไรตื่นเต้นให้ทำอีกแล้ว เพราะมีคำสั่งให้คอยตามข่าวข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลายลงพื้นที่มอบของช่วยเหลือชาวบ้าน
 
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเราจะไม่มีอิสระเอาเสียเลยในการนำเสนอประเด็นข่าวอื่นๆ
 
ผมแจ้งความจำนงกับหัวหน้าข่าวว่าอยากไปดูพื้นที่บริเวณเกาะกะทะซึ่งเราได้รับแจ้งเป็นที่แรกว่ามีแผ่นดินแยกและคลื่นขนาดใหญ่เกิดขึ้น อยากไปดูว่าเกาะกะทะซึ่งผมและเพื่อนๆ เคยไปปิกนิกด้วยกันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง
 
ผมกับเพื่อนๆ เคยไปเที่ยวเกาะกะทะกันแค่ครั้งเดียว มันตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ลายัน อ.ถลาง เป็นเกาะเล็กๆ ผมเคยเดินสำรวจรอบเกาะ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ก็เดินได้ครบรอบ เกาะกะทะเต็มไปด้วยโขดหิน แต่ด้านทิศตะวันตกของเกาะมีหาดทรายเล็กน้อยให้เรานั่งเล่นได้ ช่วงน้ำลงเราสามารถเดินข้ามไปยังเกาะได้อย่างสบายๆ แต่พอน้ำขึ้นเกาะทั้งเกาะจะตกอยู่ในวงล้อมของน้ำทะเลสวยงามไปอีกแบบ โดยรวมแล้วเกาะที่เงียบสงบแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนได้ดีอีกแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต
 
เราตั้งใจจะทำสกู๊ปเกี่ยวกับเกาะกระทะ 1 ชิ้น โดยต้องการนำเสนอให้คนทั่วไปได้รู้จักกับพื้นที่นี้ ซึ่งเป็นที่แรกที่ชาวบ้านโทรแจ้งว่าเกิดแผ่นดินแยกและคลื่นขนาดใหญ่ เราอยากรู้ว่าเกิดแผ่นดินแยกจริงหรือไม่ บริเวณไหน และจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างไรบ้างในอนาคต
 
วันที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ ทีมช่างภาพที่นำโดยพี่ชาญ พยายามเดินทางเข้าไปเก็บภาพเกาะกะทะ แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงได้เนื่องจากคลื่นสึนามิได้ซัดขึ้นมาบนฝั่งพอดี เรือหลายลำลอยตามน้ำขึ้นมาอยู่บนถนนกีดขวางจนรถยนต์ของช่างภาพเราไม่สามารถเดินหน้าไปได้อีก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็เพียงพอสำหรับการเผยแพร่เป็นข่าวใหญ่ ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ปริศนาแผ่นดินแยกตรงเกาะกะทะจึงยังไม่ได้รับการเปิดเผยในวันนั้น
 
กลับมาถึงสำนักงานแล้วหลายคนยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่เกาะกะทะ มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่สามารถสนองตอบความขี้สงสัยของใครหลายคนได้ โดยเฉพาะผมซึ่งรู้จักเกาะนี้มาแล้ว อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เกาะกะทะจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ ทันใดนั้นเองมีหมายข่าวด่วนแจ้งเข้ามาว่าวันนี้จะมีคณะภริยาของรัฐมนตรีหลายกระทรวงเดินทางมามอบของให้ชาวบ้านที่หาดกมลา ให้เตรียมทีมงานไปทำข่าวด้วย เรามองหน้ากันแล้วรีบเดินไปขึ้นรถยนต์มุ่งหน้าสู่เกาะกะทะในทันใดนั้น
 
*** ธรรมชาติทวงคืน 
 
เราเดินทางไปไปถึงเกาะกระทะภายในเวลาไม่นานนัก ถนนบริเวณปากทางเข้ายังเกลื่อนไปด้วยซากขยะ ที่น้ำทะเลพัดพาขึ้นมา กงสีที่พักคนงานหลายหลังถูกคลื่นซัดเสียหาย เราพยายามมองหาคนงานก่อสร้างสักคนเพื่อสอบถามข้อมูลถึงจุดที่เกิดแผ่นดินแยก แต่ก็ไม่พบใครให้สอบถามได้
 
รถยนต์เคลื่อนต่อไปจนสุดถนน พื้นที่บริเวณนั้นรายล้อมไปด้วยต้นมะพร้าวสูงต่ำปะปนกัน ผมเหลือบไปเห็นชายวัยประมาณ 50 ปีคนหนึ่ง กำลังเดินสำรวจอะไรบางอย่างอยู่บนลานซีเมนต์ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด และเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทันทีที่เห็นเรา แกก็แสดงอาการแปลกใจ แต่ดวงตาที่เคร่งเครียดนั้นกลับส่องประกายความหวังขึ้นมาทันที แต่แกไม่ยิ้ม
 
เราเข้าไปสอบถามจนรู้ว่าแกชื่อบังหมัด แกเล่าว่าตอนเกิดเหตุสึนามิ แกกำลังออกเรือหาปลาห่างจากชายฝั่งไม่มากนัก เพราะเรือที่ใช้ไม่ใช่เรือใหญ่ ขณะที่นำเรือกลับเข้าฝั่งก็ปรากฏคลื่นหนุนสูงเข้าหาฝั่ง ด้วยสัญชาติญาณของการเอาตัวรอด แกรีบเบนหัวเรือกลับออกสู่ทะเล มองกลับเข้าไปที่ชายฝั่ง พบว่าคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดขึ้นไปบนชายหาดอย่างบ้าคลั่ง นี่คือภาพที่แกไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต และที่เป็นห่วงมากที่สุดคือบ้าน ที่ตั้งอยู่บนชายหาดแห่งนั้น
 
บังหมัดไม่มีทายาท และภรรยาได้จากแกไปนานหลายปีแล้ว แกคือเฒ่าทะเลผู้โดดเดี่ยว ยึดอาชีพหาปลาประทังชีวิต บ้านริมหาดแห่งนี้งอกขึ้นมาจากหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงของแกเพียงผู้เดียว
 
“พอคลื่นสงบผมเอาเรือเข้าฝั่ง วิ่งไปดูที่บ้าน ก็เหลืออยู่แค่นี้”
 
แกชี้ให้เราดูบ้านพักที่เหลือเพียงลานซีเมนต์ ดวงตาแกเปียกชื้น ช่างภาพถ่ายภาพของแกไว้ ถึงตอนนี้เขาคงโคลสอัพไปที่ใบหน้า ให้เห็นดวงตาเศร้าคู่นั้น ผมเบือนหน้าหลบไปทางอื่น เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีความเข้มแข็งเพียงไหนที่ได้รับรู้ชะตากรรมอันเลวร้ายที่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งและอีกหลายๆ คนต้องได้รับจากเหตุการณ์นี้
 
“วันนี้มาดูอีกทีว่าเหลืออะไรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร ตอนนี้เหลือเรือลำเดียว ดีที่มันไม่เอาชีวิตไปด้วย ผมสร้างบ้านหลังนี้จากปลาที่หาได้ในเลแต่วันที่เกิดสึนามิเหมือนเลมันมาทวงของมันคืนไปจากเรา” แกพูด สายตามองไกลออกไปในทะเล
 
หันกลับมายิ้มให้เรา แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่กำลังมีความสุข แกก้มหน้าลงมองพื้นใช้เท่าเขี่ยพื้นซีเมนต์เหมือนกับพยายามค้นหาสัจธรรมบางอย่าง
 
บังหมัดกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัยไปในทันที หลังจากคลื่นกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่แกเพียรสร้างกลับคืนสู่ท้องทะเล แกไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร ได้แต่ทอดอาลัยปลดปลงกับชะตาชีวิต
 
ก่อนไปสำรวจรอบๆ เกาะกระทะ ผมรับปากกับแกว่าจะเสนอข่าวชีวิตของแกให้สังคมวงกว้างได้รับรู้เผื่อจะมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแกได้บ้าง พร้อมแนะนำให้แกไปลงชื่อไว้ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อหน่วยงานของรัฐจะได้ให้ความช่วยเหลือ ให้แกสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ แม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม
 
มนุษย์เพียรสร้างทุกสิ่งทุกอย่างโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ อาจนำสิ่งเหล่านั้นไปเปลี่ยนเป็นเงินหรืออย่างอื่น ถึงเวลาหนึ่งธรรมชาติก็ทวงกลับคืนโดยเราอาจไม่รู้ตัว และก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ที่จะหยิบยื่นแบ่งปันสิ่งที่ยังเหลืออยู่ให้แก่กันและกัน เพราะในสภาวะคับขันแร้นแค้น ความเมตตากรุณาคือสิ่งที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าเรายังเป็นมนุษย์ อยู่หรือเป็นอื่นไปเสียแล้ว
 
*** ความเปลี่ยนแปลง 
 
เราลาบังหมัดแล้วมุงหน้าไปเกาะกะทะ ระยะห่างจากบ้านของแกกับเกาะนั้นไม่ถึง 500 เมตร รถยนต์ของศูนย์ข่าวไม่สามารถเคลื่อนไปบนทางเดินแคบๆ ได้ จึงต้องจอดรถไว้แล้วเดินเท้าเข้าไป
ร่อยรอยของน้ำทะเลที่เคลื่อนขึ้นมาบนผืนดินปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ต้นหญ้าและวัชพืชอื่นๆ เอนลู่ไปตามทิศทางของคลื่น ส่วนใหญ่เหี่ยวเฉาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ไหม้ ซากศพของต้นหญ้าและวัชพืชเหล่านี้เผยให้เห็นความร้ายกาจของน้ำทะเล พืชพวกนี้นี้ไม่มีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกต่อไป
 
ผมนึกไปถึงโฆษณายาฆ่าหญ้าและยาปราบวัชพืชหลากหลายยี่ห้อที่ชอบโฆษณาช่วงถ่ายทอดสดการแข่งขันชกมวยไทย หญ้าที่ถูกน้ำทะเลท่วมมีสภาพไม่แตกต่างกับต้นหญ้าในโฆษณาเลยแม้แต่น้อย จนพลอยคิดเล่นๆ ไปว่า นี่ถ้าเรานำน้ำทะเลไปราดใส่วัชพืชในสวนยางพาราหรือสวนผลไม้ได้ คงทำให้ชาวสวนประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมีได้มากทีเดียว อีกทั้งน้ำทะเลไม่มีพิษภัยต่อสภาพแวดล้อมด้วย แต่อาจจะทำให้เกิดปัญหาดินเค็มตามมาได้ เรื่องนี้คงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินเป็นผู้ทดลองทำดู ดีไม่ดีอาจเป็นนวัตกรรมใหม่ให้กับวงการเกษตรกรรมบ้านเราก็เป็นได้ใครจะรู้
 
เราเดินไปแค่อึดใจเดียวก็เห็นเกาะกะทะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า เกาะกะทะในขณะที่เห็นนี้เป็นเกาะที่เหมือนกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน สภาพพื้นที่โดยรอบเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เราไม่เห็นหาดทรายที่เคยรายรอบเกาะ ทางเดินที่เคยเดินลงไปจนถึงตัวเกาะได้ก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป บัดนี้เกาะกระทะถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเล ทั้งๆ ที่เป็นเวลาน้ำลง
 
ตามปกติหากน้ำลงจะเผยให้เห็นหาดทราย นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปชมเกาะได้อย่างสบายๆ แต่ต้องรีบกลับออกมาก่อนน้ำขึ้น หลังเกิดสึนามิ คลื่นคงจะหอบเอาสันดอนทรายลงทะเลไปจนหมด หากใครจะลงไปเที่ยวบนเกาะคงต้องนั่งเรือหางยาวของชาวบ้านลงไปแทน
 
มาถึงตรงนี้ผมคิดไกลไปถึงว่า ไม่แน่บางทีบังหมัดอาจมีอาชีพเสริม จากชาวประมงมาเป็นผู้ให้บริการเรือนำเที่ยวเกาะกะทะก็เป็นได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อหาดทรายที่เคยมีอยู่นิดหน่อยถูกคลื่นพัดพาไปหมดสิ้น ไม่มีที่ให้แคมปิ้งอีกต่อไป ที่เหลืออยู่มีเพียงโขดหินใหญ่น้อย คงไม่มีใครอยากไปชมของพวกนี้
 
ระหว่างที่บันทึกภาพความเปลี่ยนแปลงของเกาะกะทะ เราพบกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันคนหนึ่ง เท่าที่รู้สำเนียงภาษาอังกฤษของคนเยอรมันค่อนข้างฟังง่ายหากเปรียบเทียบกับคนอเมริกัน ผมคิดว่าคงพอพูดคุยกับเขาได้อย่างไม่ลำบากมากนัก และจะเป็นการดีมากหากเราได้สัมภาษณ์เขา
 
เราเดินเข้าไปทักทายเป็นภาษาอังกฤษ บอกให้เขารู้ว่าต้องการสัมภาษณ์ประเด็นไหน
 
“ผมชอบมาเที่ยวที่นี่ มันเปลี่ยนไปมากหลังจากเกิดคลื่นสึนามิ ตอนนี้จะเดินลงไปเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้อีกแล้ว หาดทรายก็หายไปหมด น่าเสียดายมาก” ฟังเขาแล้วพวกเราต่างหันมายิ้มปนหัวเราะ เขาเองแปลกใจจึงพูดขึ้นอีก
 
“ผมอยู่เมืองไทยหลายปีพูดภาษาไทยได้สบายๆ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว” เขาพูดแล้วยิ้ม ผมยิ้มตอบหันไปมองเกาะกะทะ
 
ใช่จริงๆ ด้วย อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เราคิดอาจไม่เป็นดังที่คิดเสมอไป ตราบใดที่โลกยังไม่หยุดหมุน
 
(อย่าพลาดตอนที่ 2 ตอนจบ)
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น