ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เฒ่า 61 มือปืนยิงหนุ่มใหญ่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เข้ามอบตัวต่อตำรวจแล้วหลังถูกกดดันอย่างหนัก ผู้การภูเก็ตคุมตัวทำแผนประกอบคำรับสารภาพ อ้างก่อเกิดเหตุเพราะมีปากเสียงกับคนตายเรื่องการขับรถแซงกัน ขณะที่ภรรยาคนตาย เผยหลังเกิดเหตุลูกชายยังทำใจไม่ได้ ส่วนตัวรู้สึกเสียใจที่คนร้ายก่อเหตุเหี้ยมโหดต่อหน้าลูกชาย สมควรได้รับโทษ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (2 พ.ย.) พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.ภ.จังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พีรยุทธ การะเจดีย์ และรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.เสริมพันธ์ สิริคง ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต รวมทั้งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต กำลังเจ้าหน้าที่สืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่สืบสวน สภ.เมืองภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำตัว นายสุวัฒน์ แซ่จง หรือโกฝาด อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควร มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
หลังใช้อาวุธปืนยิง นายเฉลียว ปิยภาณีกุล อายุ 49 ปี เสียชีวิตต่อหน้าลูกชายวัย 12 ปี ซึ่งเหตุที่ถนนรัษฎานุสรณ์ หรือทางไปกู้กู ใกล้สี่แยกมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ต.รัษฎา องเมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 09.00 น. โดยมีภรรยา ญาติๆ และเพื่อนของผู้ตายมารอดูการทำแผนจำนวนมาก ซึ่งทางตำรวจต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 50 นาย คอยดูแลความปลอดภัย
โดยจุดแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว นายสุวัฒน์ แซ่จง ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ คือ จุดที่นายสุวัฒน์ นำอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุยิงนายเฉลียว ไปทิ้งในป่ากล้วย บริเวณซอยถนนตรัง อ.เมืองภูเก็ต หลังจากนั้น ได้นำตัวผู้ต้องมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการขับรถมาจอด โดยรถของ นายเฉลียว ซึ่งมีลูกชายนั่งซ้อนท้ายขับแซงรถของผู้ต้องหาเข้ามาจอดก่อน หลังจากนั้น ผู้ต้องหาก็ได้ขับเข้ามาจอด จากนั้นทั้ง 2 คน ก็ได้ตะโกนใส่กันก่อนที่จะเดินเข้าหากัน โดยผู้ต้องหาได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่นายเฉลียว ทันที 3 นัด หลังก่อเหตุผู้ต้องหาก็ได้ขึ้นรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ขธท 129 ภูเก็ต ของตัวเองขับหลบหนีกลับไปทางเดิม
พล.ต.ต.พชร กล่าวว่า สำหรับคดีนี้หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่าผู้ก่อเหตุ คือ นายสุวัฒน์ แซ่จง และขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับ ซึ่งหลังจากได้หมายจับก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายในทุกจุดที่คาดว่าคนร้ายจะหลบซ่อนอยู่ จนกระทั่งวันนี้ (2 พ.ย.) นายสุวัฒน์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่กดดันอย่างหนักได้ออกจากที่ซ่อน และติดต่อขอมอบตัวต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บริเวณศาลาประชาคมจังหวัดภูเก็ต
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปควบคุมตัวพร้อมยึดของกลาง ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ 110 สีน้ำเงินเทา หมายเลขทะเบียน ขธท 129 ภูเก็ต หมวกกันน็อกสีฟ้า แถบขาว 2 เส้นคาดตรงกลาง อาวุธปืนแบบออโตเมติกขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นอาวุธปืนมีทะเบียน โดยเจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ในป่ากล้วยริมถนนตรัง กระสุนปืน ขนาด 9 มม.จำนวน 11 นัด ซองหนังสีดำ 1 อัน เสื้อโปโลสีขาว จำนวน 1 ตัว กางเกงยีนส์ขายาวสีซีด จำนวน 1 ตัว ซึ่งจากการสอบปากคำผู้ต้องหาในเบื้องต้น ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนสั้น ขนาด 9 มม.ที่พกติดตัวมาก่อนยิงเข้าใส่ นายเฉลียว จำนวน 3 นัด เป็นเหตุให้เสียชีวิตเนื่องจากมีปากเสียงเรื่องการขับรถปาดหน้ากัน
ขณะที่ นายสุวัฒน์ แซ่จง ผู้ต้องหากล่าวถึงสาเหตุที่ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่นายเฉลียว จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองได้ขับรถมาจากในเมือง เพื่อที่จะไปในพื้นที่ อ.ถลาง แต่เมื่อมาถึงจุดที่ใกล้ที่เกิดเหตุ นายเฉลียว ได้ขับรถแซงปากหน้าขึ้นมาในระยะกระชั้นชิด เมื่อรถมาจอดติดไฟแดงใกล้กันจึงได้ตะโกนถามว่า “มึงจะบ้าเหรอ” ทำให้นายเฉลียว ตะโกนกลับมาว่า “มึงสิบ้า” หลังจากนั้น นายเฉลียว ก็ได้เดินลงจากรถและเดินมาหาตน ซึ่งตนก็ได้บอกว่า “มึงเข้ามากูยิง” แต่นายเฉลียว ยังเดินเข้าหาอีก ซึ่งตัวเองเกรงว่าจะถูกทำร้าย จึงชักอาวุธปืนที่ที่เก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวออกมายิงใส่ นายเฉลียว ทันที จำนวน 3 นัด จนนายเฉลียว ล้มลง ส่วนตนก็ขึ้นรถจักรยานยนต์ย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สุดท้ายก็ถูกกดดันอย่างหนักจึงตัดสินใจเข้ามอบตัว
นายสุวัฒน์ ยังได้กล่าวต่อไปถึงกรณีการพกพาอาวุธปืนติดตัวว่า วันที่เกิดเหตุตนไม่อยู่บ้าน จึงต้องการที่จะนำอาวุธปืนไปเก็บที่บ้านในพื้นที่ถลาง แต่ก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพกอาวุธปืนนั้นที่ผ่านมาก็พกบ่อยเนื่องจากไม่อยากเก็บไว้ที่บ้าน
ด้าน นางกันยา ปิยภาณีกุล ภรรยาของนายเฉลียว กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกดดันจนคนร้ายมามอบตัว ซึ่งตนก็อยากให้คนทำผิดถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเพราะถือว่าคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็เป็นภัยต่อสังคม ซึ่งถ้าเป็นเรื่องเฉพาะหน้าแค่เรื่องของการขับรถปาดหน้ากันตนคิดว่าไม่ควรที่จะทำรุนแรงถึงขนาดนี้ และที่สำคัญ คนร้ายยิงนายเฉลียว ต่อหน้าลูกชาย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อความรู้สึกของเด็กเป็นอย่างมาก เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจ และจนถึงขณะนี้ลูกชายก็ยังทำใจไม่ได้ และไม่ยอพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคิดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา และหลังจากที่คนร้ายยิงนายเฉลียว ล้มลงไปแล้ว ลูกชายตนวิ่งเข้าไปหา และร้องเรียกพ่อตลอดเวลา