คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
ต้นเดือนที่ผ่านมา ขี่รถจักรยานยนต์ หรือที่เรียกว่า “รถเครื่อง” กระจอกๆ ตากแดดตากฝน เสี่ยงตายกลางถนน ตระเวนเที่ยวดูหาดรอบเกาะภูเก็ต
เห็นความสะอาดของหาดทรายชายทะเล ที่เป็นธรรมชาติขึ้นมาบ้าง หลังการจัดระเบียบตามนโยบายของ คสช. แม้จะไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติจริงๆ เหมือนอดีตสมัยที่ยังเป็นหนุ่มรุ่นกระทง
แต่ก็พอสัมผัสได้ รู้สึกสบายตา สบายใจ อินจนน้ำตาซึม!
หาดทราย เป็นหาดทรายจริงๆ สะอาดเกลี้ยง ไม่มีเตียง เก้าอี้ผ้าใบ ร่มโลโก้สารพัดแบงก์ทั้งสีเขียว สีม่วง หรือแม้กระทั่งเต็นท์ กระโจม แผงลอยบาร์เบียร์ & ส้มตำ
ไปถึงหาดไหน ก็ฉวยโอกาสแวะพักเครื่องรถที่ร้อนจัด พรางนั่งหลบแดด เห็นมีนักท่องเที่ยวทั้งไทย เทศต่างเดินเล่น บ้างนั่ง บ้างนอน เล่นทราย อาบแดด ช่วงเช้า และช่วงบ่ายยามแดดอ่อนที่มีคุณประโยชน์ตามธรรมชาติ
เหมือนสมัยที่ฮิปปี้ ฝรั่งผมยาว ใส่รองเท้าแตะ สะพายเป้เข้าภูเก็ตกว่า 40 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ
ในความรู้สึกส่วนตัวแบบโบราณๆ คิดว่า คงไม่มีมนุษย์ชาติไหนที่จะบ้าลงไปนอนอาบแดดผ่าเที่ยงบนเตียงผ้าใบ แล้วกางร่ม มันผิดธรรมชาติ ไม่ได้คุณประโยชน์จากแสงแดด หนำซ้ำยังเป็นอันตรายต่อหนังกำพร้าตัวเองอีก
ขอโทษ... ที่เอาเตียงไปตั้ง เอาร่มไปกางตามชายหาดหลายแห่งของไทยแลนด์บ้านเรา น่าจะเป็นการสร้างพฤติกรรม หรือกิจกรรมความแปลกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวก็เป็นได้
หรืออีกทีอาจจะเป็นการเรียนแบบเอาอย่างมาจากต่างประเทศ มาใช้ในบ้านเรา เพราะคนไทยเราสมัยนี้ชอบเอาอย่าง ถ้าเป็นวัฒนธรรมต่างชาติแล้ว ต่างดี๊ด๊าขานรับกันตัวสั่นดิ๊กๆ
เห็นวัฒนธรรมบ้านเรา ของปู่ยาตายายแล้วร้อง “ยี้” ลองให้นุ่งผ้าถุงกระโจมอกดูสิ “หลุด”
แต่พอนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว วับๆ แวมๆ วิ่งอวดได้รอบบ้าน
ครับ... ยอมรับ ผมกบในกะลา ไม่เคยไปเมืองนอก ต่างประเทศ ไปก็แค่บ้านอาม่า (ย่า) ที่ปินัง (เกาะหมาก) แค่นั้นแหละ
กลับมาที่เรื่องอาบแดด สังเกตดูแม้กระทั่งสัตว์ เอากันง่ายๆ ใกล้ตัว คุณหมา หรือสุนัข รวมทั้งน้องแมว น้องเหมียว เขาก็ต้องการแดดยามเช้า พอแดดแก่เขาก็จะหลบเข้าร่ม บางทีก็มุดเข้าใต้ท้องรถยนต์ หรือแม้กระทั่งคุณไก่ ทั้งไก่บ้าน ไก่ชน เขาก็ออกไปนอนยืดปีก ซ้ายทีขวาที รับแสงแดดอ่อนตอนสาย พอแดดจัด ก็หลบเข้าร่ม วัวควาย หากินกลางทุ่ง ลงปลัก พอแดดกล้าใกล้เที่ยง ต่างก็หลบเข้าร่มไม้ชายทุ่ง บ้างยืน บ้างนอนเคี้ยวเอื้อง แกว่งหางพัดวีไล่เหลือบริ้น
เท่าที่สอบถามจากกูรูผู้รู้ และเปิดตำราดู ที่จริงแล้ว แสงแดดนั้นมีคุณค่ามหาศาลในการช่วยสร้างวิตามิน D และช่วยให้กระดูกแข็งแรง ทั้งยังช่วยลดอาการปวดได้ด้วย แต่ต้องเป็นแดดอ่อนในช่วงเช้า หรือบ่าย ถ้าแดดจัด หรือแดดกล้ารังสี UV จะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้ผิวคล้ำ หรือหนังกำพร้าแสบร้อน และลอกออก
ล้วนไม่เป็นที่ปรารถนาของสาวไทย ทั้งแดดอ่อน และแดดแก่ แต่ดันแก่แดด!
นั่น... เป็นคุณและโทษของแสงแดด จากการอาบแดด
ใช้เวลา 2 วันครึ่ง ในการรำลึกความหลังตระเวนชมหาดภูเก็ต ตกเย็นก็กลับ เช้าเติมน้ำมันรถ 120 บาท ควบรถเครื่องไปตั้งหลักใหม่ ณ จุดที่ลาจากเมื่อวันวาน
ในช่วงที่ตระเวนตะลอนทัวร์ ไปตามถนนสายหลัก “เทพกระษัตรี” พ้นถลาง (บ้านเคียน) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนไปสนามบินสายเก่าที่สามแยกไฟแดง เห็นหาดทางตอนเหนือเกาะ ทั้งในทอน ในยาง ไม้ขาว สวนมะพร้าวเก่า ยันไปถึงหาดทรายแก้วยังไม่น่าประทับใจ เพราะยังมีอาคารล้ำหาด ทั้งในที่ของอุทยานฯ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เปิดขายอาหารกันสบายอุรา ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ครับ ยังเต็มไปด้วยขยะถาวร และขยะอิทธิพล สอบถามดู บางรายก็เส้นสายพรรคพวกนักการเมืองท้องถิ่นให้อยู่จนวินาทีสุดท้าย บางรายก็ว่ามีโฉนด รอการพิสูจน์สิทธิ เป็นคดีความอยู่ในศาล
ถ้าอยู่ในศาล คสช.คงไม่มีอำนาจ และกฎอัยการศึกเงื้อค้าง!
พอมาถึง ณ วันนี้ นักข่าวรายงานว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้า “ลายเคง” (รื้อถอน) อาคารร้านค้าเหล่านั้นเรียบเป็นหน้ากลองแล้ว รอให้เขาเคลียร์พื้นที่ให้สะอาดก่อนค่อยไปดู ถ้าไปตอนนี้อาจถูกเคลียร์เขี่ยทิ้งไปด้วยก็ได้
ก็รู้สึกดีใจ
คิดเอาเองนะว่าเจ้าของร้านค้า ภัตตาคารเหล่านั้น ในระดับนั้น ไม่น่าจะเดือดร้อนมากนัก ผลกำไรที่กอบโกยสะสมเอาไว้จากการทำมาหากินบนที่สาธารณะ ที่หลวงมาหลายปี คงเป็นทุนเพียงพอที่จะขยับขยายไปหาที่เปิดร้านทำมาหากินใหม่ได้
ถ้าจะเดือดร้อน ก็พนักงานเสิร์ฟ พนักงานบริการ ลูกจ้างนี่แหละ คงไม่มีเงินถุงเงินถัง อาจจะมีเงินเก็บเงินออมก็เล็กน้อย กลุ่มนี้เดือดร้อนแน่ในระหว่างตระเวนหางานใหม่
ใครมีงานในพื้นที่ใกล้เคียง ก็อ้าแขนรับไว้เถอะ ได้บุญ
การจัดระเบียบหาดที่เกาะภูเก็ต ตามนโยบายของ คสช.ที่ผ่านมา จนถึงบัดนี้ ประสบความสำเร็จแล้วครึ่งค่อนเกาะ โดยเฉพาะหาดป่าตอง หาดกะตะ กะรน หาดสุรินทร์ บางเทา แหลมสิงห์ และอีกหลายๆ หาด ไร้สิ่งกีดขวางรกรุงรัง
ได้รับคำชมเชยจากผู้ที่ไปพบเห็นมาทุกรุ่นทุกวัย ทั้งคนในท้องถิ่น และต่างถิ่น ได้ยินมากับหู เห็นมากับตา
และไม่กี่วันที่ผ่านมา รองผู้ว่าฯ “จำเริญ ทิพญพงษ์ธาดา” พูดอย่างเป็นปลื้มชัดถ้อยชัดคำว่า เคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว 90% และจังหวัดก็ได้ออกประกาศมาตรการการรักษาหาดไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็เป็นหน้าที่ของชาวภูเก็ตทุกคน ประชาชนทั่วไป
จะต้องช่วยกันดูแลรักษาให้ยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน เพื่อคนคนรุ่นหลังได้ชื่นชมสัมผัสต่อไป
ไม่สอพลอ ขอชมทีมงานที่รับบัญชาจาก คสช.มาดำเนินการ โดยเฉพาะ “ ไมตรี อินทุสุต” ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าทีมจังหวัด “น.ท.พรหรม สกุลเต็ม ร.น.” ฝ่ายเสธ.กองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาค 3 และ “พ.อ.สมชาย โปณะทอง” ผบก.ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มทบ.41 หัวหน้าชุด คสช.ดูแลพื้นที่ภูเก็ต รวมทั้ง “กิตติพัฒน์ ธาราภิบาล” หน.อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆในพื้นที่
และก็ต้องดีใจกับ “นายกฯ ย่อย เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์” ทีได้จังหวะลุยกับอิทธิพลกลุ่มอำนาจเก่าที่ตลกบริโภคกับธุรกิจขยะชายหาดทั้งหลายมานานแสนนาน แทบจะไม่ต้องออกแรง ให้ระวัง “หอกข้างแคร่” จะแทงหลัง
มีเสียงพึมพำ เหมือนพรายกระซิบจากพื้นที่หลุดออกมา โรงแรมระดับ 4-5 ดาวดังๆ ที่อยู่ติดหาด อีกหลายหาดหลายโรงแรม ปลูกอาคารรุกล้ำชายหาดชัดเจน หลงหูหลงตาทีมงานของ คสช.ชุดนี้ไปได้อย่างไร?
ผลงานตามคำสั่งประกาศ คสช.ที่ผ่านมา ใช่ว่าจะสงบราบรื่นตลอดกาล ก็หาไม่
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ม.อ.ร่วมกับ สภาประชาชนคนภูเก็ต ตีเกราะเคาะปี๊บให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ เดือดร้อนจากการเคลียร์พื้นที่ทวงคืนหาด และที่สาธารณะ ที่หอประชุมอนุภาษภูเก็ตการ ม.อ.วิทยาเขตภูเก็ต
มากันเพียบทั้งฝ่ายอาจารย์ นักวิชาการ และผู้ประกอบการจากทุกหาด ทั้งร่ม เตียง นวด หิ้วกระติกขายเครื่องดื่ม เจ็ตสกี เรือหางยาว บีชบอย และอื่นๆ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
เป็นการเปิดให้ผู้ประกอบการบนชายหาดเหล่านั้นได้ระบายความเดือดร้อน และต้องการรู้ว่า จะให้ภาครัฐช่วยอะไรบ้าง จะได้นำข้อมูลทั้งหมดเสนอให้ คสช.จังหวัดภูเก็ต
ก็พอสรุปได้ว่า ตั้งแต่ถูกกวาดต้อนไล่ออกไปจากหาด ต่างได้รับความเดือดร้อนสาหัสสากรรจ์ทั้งสิ้น ล้วนต้องหาเลี้ยงครอบครัว ไหนจะลูก ไหนจะเมีย ไหนจะผัว ต่างต้องกินต้องใช้ เงินในกระปุกก็แคะ เคว็กออกใช้จะหมดแล้ว
“จักรินทร์ เจริญจิตต์” ตัวแทนกลุ่มร่มเตียงป่าตองบอกว่า ตอนนี้ป่าตองเหมือนหาดร้าง มีคนตกงานกว่าพันคน และนักท่องเที่ยวขาดสิ่งอำนวยความสะดวกบนชายหาด จากโพลของของกลุ่มร่มเตียงที่สอบถามนักท่องเที่ยว 200 ตัวอย่าง 95% ต้องการร่มเตียงที่ชายหาด
ด้านจังหวัดภูเก็ตเผยโพลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเด็นการจัดระเบียบชายหาด ระดับความพอใจมากมี 67.5% พอใจปานกลาง 28.9% พอใจน้อย 2.2.% ไม่พอใจ 1.4%
ส่วนความต้องการให้ชายหาดเป็นธรรมชาติ สวยงามสะอาด ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ร่ม เตียง โต๊ะ เก้าอี้ และการบุกรุกที่สาธารณะ 48.2% อยากเห็นชายหาดสาธารณะเป็นของประชาชนทุกคนใช้พักผ่อนหย่อนใจ ไม่มีผู้จับจองปิดทางเข้า-ออก 43.7% มีแค่ 6.7% เท่านั้น ที่อยากเห็นชายหาดรกเหมือนก่อนที่จะมีการจัดระเบียบ และ 1.4% ต้องการให้จัดแบ่งพื้นที่บริเวณชายหาดให้ร้านค้า และผู้ประกอบการอื่นๆ
ในประเด็นดังกล่าว ผู้ตอบคำถามได้แนะนำให้จัดหาพื้นที่ทำกินแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
แล้วตัวแทนกลุ่มร่มเตียงเสนอขอความช่วยเหลือแค่พื้นที่วางเตียง 2 แถว เว้นที่ว่างให้นักท่องเที่ยวได้ลงหาดกว้าง 6 เมตร ในเรื่องของพื้นที่วาง ร่ม เตียง แต่ละรายนั้นให้ยึดของเดิมที่ได้ดำเนินการอย่างที่ผ่านมา
ไม่ต้องการให้ภาครัฐมาจัดสรรให้ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน คนละ 20 เมตร
นั่น... น่าจะเป็นแนวคิดที่จะให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ที่รั่วเข้าหูกลุ่มร่มเตียง แล้วทะลักออกมาจากปาก
เห็นชัดๆ เงินสดๆ ผลประโยชน์อีหรอบเดิม กำลังรอไหลเข้ากระเป๋ากันอีก จากการต่อรอง ตัวอัปรีย์วางแผนกันตั้งแต่ในมุ้ง จัญไรมั้ย พ่อแม่พี่น้อง
และนี่แหละครับ เรากำลังจะเริ่มต้นย้อนกลับอดีต เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา ค่อยๆ เพิ่มปริมาณจากรายสองราย เป็นสามเป็นสี่ เตียง ร่มจาก 10-20 คัน เพิ่มเป็นร้อย และขยับรุกลงหาดไปเรื่อย จนกลายเป็นดอกเห็ดเต็มหาดอย่างที่ได้เห็น ก่อนจัดระเบียบ
ประชาชนทุกคนที่เป็นเจ้าของหาดนั่นแหละครับ ที่จะช่วยป้องกันหาดให้สะอาด และเป็นธรรมชาติได้ โดยไม่ต้องพึ่งใครอีก ทั้งต้องช่วยกันแนะ ช่วยกันโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ให้เห็นแก่ส่วนรวมบ้าง