คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
ตั้งแต่ “ดำรง พิเดช” อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดใช้ “ยุทธการทวงคืนผืนป่าอุทยานฯ” ทั่วประเทศ เริ่มจากอีสาน ตะวันออก ยันภาคใต้ ที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ภูเก็ต ชนิดเห็นช้างตัวเท่าหมู ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นฝ่ายเปิดเกมเล่นแรง ด้วยยุทธการทวงคืนผืนป่า ฟันกันไม่เลี้ยง หวังเอาคืนพื้นที่ป่าให้ได้มากที่สุด ทำให้กรมป่าไม้ที่ปวกเปียกมานาน ขณะนี้ได้อยู่ชายคากระทรวงเดียวกันต้องเล่นตาม ในหลายพื้นที่
“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” องคมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ยังโดนเฉ่งปี๋ รุกที่ป่าเขายายเที่ยง โคราช ทั้งที่ได้มาด้วยการซื้อ จำใจต้องคืนให้เหมือนกัน
และที่ภูเก็ต “ดำรง พิเดช” ได้มอบให้ขุนศึกตงฉินมือปราบระดับพระกาฬ “หัวหน้าต้อย” ชีวภาพ ชีวธรรม ที่สั่งย้ายมาเป็นหัวหน้าอุทยานฯ สิรินาถ ก่อนที่ตัวเองจะเกษียณออกไป ให้เป็นหัวหอกจัดทัพเดินหน้าทวงคืนผืนป่าบนเกาะแห่งนี้ ทุกกระเบียดนิ้วคืนให้แผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จ และเด็ดขาด
แต่... ขณะนั้น อย่างที่ “หัวหน้าต้อย” เปิดเผยต่อสื่อ และเป็นข่าวมาโดยตลอด ทุกขั้นตอนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แม้แต่การขอดู และตรวจสอบหลักฐาน ทั้งขอความร่วมมือจากสำนักงานที่ดิน ก็ยากเย็นแสนเข็ญ
เพราะทั้งผู้บุกรุก อันที่จริงต้องเรียก “ผู้ยึดครองที่ดิน” อาจจะซื้อมา หรือได้มาโดยวิธีการใดก็ตาม ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลเงินล้นฟ้า หรือไม่ก็มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองใหญ่ในรัฐบาล หรือในวงการทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองระดับบิ๊กทั้งสิ้น
ตัดฉากมาที่ภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน เป็นเมืองท่องเที่ยวกำลังบูม การลงทุนทุกรูปแบบทะลักเข้า ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในอันดับหนึ่งทั้งที่อยู่อาศัย รีสอร์ต และโรงแรม ที่ดินราคาพุ่งแรง ทุกตารางนิ้วดั่งทองคำ ด้วยการปั่นราคาของ
นายหน้านักล่าเงินมือเปล่า
ที่ดินจับจอง ไม่มีเอกสารเอกสารสิทธิ หรือมีเอกสารสิทธิทุกรูปแบบ ตั้งแต่ ภบท.5 ใบเหยียบย่ำ ตราจอง ส.ค.1 หรือ น.ส.3 ถูกนายหน้าเอาไปปั่นราคาซื้อขายเล่นแร่แปรธาตุ ร่ำรวยด้วยการจับเสือมือเปล่าครึ่งค่อนเมือง
เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการบุกรุกยึดที่อุทยานฯ และป่าไม้จากชายขอบเขตต่อแดน ด้วยการปั่น ส.ค.1 ที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ให้มันบวมให้มันบินเข้าไปเขมือบป่านับร้อยนับพันไร่ ขณะขอออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดิน
ตั้งแต่เริ่มใช้ยุทธการทวงคืนผืนป่า มีแต่ฝ่ายอุทยานฯ เท่านั้นที่ลั่นกลองศึก รุกตะลุยอย่างฮึกเหิม ทุกพื้นที่แถบชายขอบที่ดินอุทยานฯ ล้วนประกาศยึดคืน ทั้งแจ้งความตำรวจ ยื่นเพิกถอนเอกสารสิทธิ ว่าออกโดยมิชอบ ร้องขอระงับการออกโฉนด
ที่อุทยานฯ สิรินาถ ยืนยันชัดถ้อยชัดคำ พื้นที่ถูกบุกรุกยึดครอง กว่า 3,000 ไร่ ออกโฉนดไปแล้ว1,500 ไร่ ได้แจ้งความดำเนินคดี และขอเพิกถอน เพราะออกโดยมิชอบ กับอยู่ระหว่างดำเนินการขอเอกสารสิทธิอีก 1,500 ไร่
ล่าสุด หลังจาก คสช.เข้ามาจัดการบ้านเมืองแบบเบ็ดเสร็จ สั่งทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเคลียร์เรื่องการบุกรุกทั้งป่าไม้ และอุทยานฯ ในส่วนของภูเก็ต กรมที่ดินโดยอธิบดี พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ก็ต้องรีบจัดกระบวนท่าเคลียร์ตัวเอง ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ขึ้นมาพิสูจน์
โดยให้ ธรรมศักดิ์ ชนะ รองอธิบดี ลูกหม้อสายเลือดกรมที่ดินแท้ๆ เป็นประธาน เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทางพื้นที่ตั้งแต่ 19 กรกฎาคม 2557 มาทำการตรวจสอบให้เสร็จภายใน 60 วัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การตรวจสอบครั้งนี้ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ต่างตรวจกันแล้วสอบกันอีก หลายหน่วยงานไม่รู้หน่วยไหนเป็นหน่วยไหน
คราวนี้ว่ากันว่า ต้องเอาจริง เห็นกันเป็นรูปธรรม เพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทำลายป่าตามแนวทางของ คสช. โดยเฉพาะการออกเอกสารสิทธิในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ที่ฉาวกันมานานแรมปี
วันแรกที่ลงพื้นที่ เข้ารายงานตัวผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งความประสงค์เสร็จสรรพ พร้อมพูดเต็มปากเต็มคำว่า ตามที่บางหน่วยงานกล่าวว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานที่ดินในการตรวจสอบหลักฐานเท่าที่ควร คราวนี้ได้สั่งการแล้วให้ทุกแผนกให้ความร่วมมือให้เต็มที่
เป็นอันว่าต่อไปนี้ อยากดูหลักฐานเก๊ะไหน ตู้ไหน ดูได้ตามสบาย เปิดซิปอ้าซ่าให้แล้ว
เป้าหมาย 370 แปลงทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระบุว่า การออกเอกสารสิทธิมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน หรือ ส.ค.1 ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้ออกเอกสารสิทธิที่ดินไม่ถูกต้อง
ผู้ครอบครอง หรือยึดครองที่ดินเหล่านั้น ทั้งบุคคล และนิติบุคคลเหล่านั้น ล้วนไม่ธรรมดา เอกสารสิทธิก็เป็นของกรมที่ดิน ของทางราชการออกให้ มีครุฑสีแดงของจริงผงาดอยู่อย่างสง่าบนหัวเอกสาร และประทับที่ลายเซ็นเจ้าพนักงานที่ดิน ทั้งยังได้มาด้วยเม็ดเงินร้อยล้านพันล้าน และมีสถาบันการเงินระดับอินเตอร์ให้การสนับสนุน
กลับกลายเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้อง และยังตกเป็นผู้ต้องหาบุกรุกที่หลวง ที่อุทยานฯอีก เจออีแบบนี้ มันก็ต้องกระทืบแผ่นดินตวาด อุเหม่... อุเหม่
อธิบดีกรมที่ดิน“พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” เปิดแฟ้มออกมายันว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2555 กรมที่ดินมีคำสั่งลงวันที่ 6 กันยายน 2555 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิในเขตพื้นที่อุทยานฯ ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จำนวน 10 ราย 34 แปลง ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มข้างล่างนี้
1.โรงแรมภูเก็ตเพนนินซูลา สปา แอนด์ รีสอร์ท จำกัด 2.บริษัท เซ็นทรัล แอนด์ซิตี้ ดิวิลอปเม้นท์ จำกัด 3.บริษัท แลนสเตท จำกัด 4.นางสุชาดา สังข์สุวรรณ 5.บริษัท เดอะอันดามัน ไพรเวทบีช จำกัด 6.บริษัท สุรีสัมฤทธิ์ จำกัด 7.บริษัท พาวิลเลียน บีช รีสอร์ท จำกัด 8.โครงการลาคลอรีน 9.บริษัท ลายันภูเก็ต จำกัด 10.บริษัท ทรีดอลฟินซ์ จำกัด 11.โรงแรมภูเก็ตอคาเดีย 12.โครงการบ้านฝรั่ง 13.บริษัท ในทอนบีช จำกัด บริษัท มาลัยวนา ฮิลล์ จำกัด และ 14.โครงการอิสทานา มีทั้งบุคคล และนิติบุคคล การตรวจสอบของคณะกรรมการชุดนั้นเบื้องต้นพบว่า
ผู้ขอออกเอกสิทธิ เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายมาก่อนการสงวนหวงห้ามเป็นเขตป่าไม้ โดยมีหลักฐาน ส.ค.1 แจ้งครอบครองออกเมื่อปี 2498 และการขอออกโฉนดก็มีผู้แสดงตนยืนยันเป็นเจ้าของ ที่ดินบางแปลงออกโฉนดเมื่อปี 2550 แต่จากการตรวจสอบแผนที่ระวางที่จัดทำเมื่อปี 2540 พบว่า ได้มีการปลูกสร้างอาคารในที่ดินเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกโฉนดที่ดินไม่น้อยกว่า 10 ปี
นั่น... เป็นการยืนยัน จาการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชุดที่แต่งตั้งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555
อีกประเด็นหนึ่ง ที่อุทยานฯ อ้างว่า กรมป่าไม้ได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่เข้ามาอยู่ในเขตป่าเขารวก ป่าเขาเมือง ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ.2507) ออกตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 ก่อนประกาศเป็นเขตอุทยานฯ ในปี 2524 จึงไม่อาจออกเอกสารสิทธิในเขตอุทยานฯอีก
ปรากฏว่า กรมที่ดินไม่ทราบ และยังไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้ ซึ่งทางสำนักงานที่ดินส่วนแยกถลาง ได้เคยให้จังหวัดประสานกับกรมอุทยานฯ เพื่อขอหลักฐานดังกล่าว รวมทั้งบัญชีรายชื่อเจ้าของที่ดินที่ได้รับเงินชดเชย ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
จึงยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ส.ค 1 ที่นำมาเป็นหลักฐานในการออกโฉนดดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นี่... เป็นอีกปมหนึ่งของปัญหา ที่ทางคณะกรรมการฯ ชุดใหม่ที่ “ธรรมศักดิ์ ชนะ” เป็นประธาน ต้องดำเนินการตรวจสอบให้เสร็จภายใน 60 วันโดยเฉพาะแปลงเจ้าปัญหา ระดับบิ๊กๆ ที่ออกสื่อกันครึกโครม และยังทำอะไรให้เด็ดขาดเบ็ดเสร็จไม่ได้
อุทยานแห่งชาติฯ ขู่แล้วขู่อีก เงื้อแล้วเงื้ออีก ก็ไม่ฟันธง ลงดาบ
นอกจากนั้น ยังมีการกำชับคณะกรรมการชุดนี้ ให้ตรวจสอบถึงพฤติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าเหน้าที่ในสังกัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ว่าราชการลงมา ทั้งในอดีต และปัจจุบันที่ทุจริต ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบรายงานให้ทราบ เพื่อดำเนินคดีอาญา ให้เชือดทิ้ง ไม่ต้องเลี้ยง ไม่ต้องปรานี
จะอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ร่วมรู้เห็นเป็นใจให้ได้มาซึ่งเอกสารสิทธิจะโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าหมิ่นเหม่ ไม่แน่ชัด หากไม่ได้รับไฟเขียวจากหน่วยเหนือ การจะทำโดยพลการตามลำพังนั้น น้อยนักที่จะกล้าทำ ถ้าไม่แน่จริง
ย่อมต้องรู้ตัวอยู่แล้ว หากพลาดถูกเชือดไม่เหลือตอแน่
อีกทั้งผู้ที่เซ็นรับรองเห็นชอบ ก็ไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียว อย่างน้อยต้องมีผู้ร่วมรู้เห็นหลายคน อย่างน้อยต้อง 3 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายปกครอง ป่าไม้ อุทยานฯ เจ้าของที่ดินข้างเคียง ช่างรังวัด เจ้าพนักงานที่ดิน สุดท้ายก็ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมเห็นชอบอนุมัติ
ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ละคนล้วนผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ก่อนจะได้เป็นเจ้าเมือง ถ้าไม่มีแบ็ก หรือกำแพงที่มั่นคงให้พิงนั้น คงเป็นไปไม่ได้
และเป็นที่รู้กัน เกือบทุกยุคที่ผ่านมา ผู้มากบารมีที่ชี้นิ้วเปิดไฟเขียวไฟแดง หรือเป็นแบ็กระดับผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดี หรืออธิบดีได้นั้น ล้วนต้องเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดินที่สามารถชี้นิ้วให้เป็นให้ตาย ให้คุณให้โทษได้ในทันที!
หรืออีกประเด็นหนึ่ง ก็ต้องมีผลตอบแทนล้นฟ้า เงินเป็นกระสอบสมนาคุณ ประเด็นนี้แม้จะล่อใจได้ชะงัด แต่ถ้าเรื่องแดงก็มีสิทธิถูกตรวจสอบเจอทั้งวินัย และอาญานอนคุก และถูกอายัด และยึดคืน
ก็ต้องมีการชั่งใจอยู่หลายตลบ ถ้าลืมคิด ก็เป็นกรรม
ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า การเดินหน้าทวงคืนผืนป่าอุทยานแห่งชาติ สิรินาถนับร้อยแปลง กว่า 1,500 ไร่ เอาชนิดแปลงใหญ่ๆ โดยขอตรวจสอบเอกสารหลักฐานเพื่อ “จับผิด” แม้จะเป็นหน่วยราชการด้วยกันก็คงไม่ง่ายนัก เรื่องการหมกเม็ดเอื้อพวกเดียวกัน สีเดียวกันย่อมต้องมี ไม่มากก็น้อย เป็นธรรมดา
แต่ละโครงการ แต่ละบริษัท มีชื่อใครเป็นกรรมการ ใครถือหุ้น และใครเป็นแบ็ค ซื้อจากใคร ผ่านมากี่มือ เพราะเชื่อแน่ว่า แต่ละโครงการแต่ละบริษัทนั้น ไม่ใช่ผู้ยึดครองที่ดินดั้งเดิม ล้วนซื้อมาทั้งนั้น แต่ละแปลงผ่านมาแล้วไม่รู้ว่ากี่มือ
มือต้นๆ อาจจะซื้อผลอาสิน มือเปล่า ใบจับจอง มาเป็น ส.ค.1 จากนั้นใช้ทั้งแรงดัน แรงอัดจนบวมจนพองงอกเงยขึ้น และเป็นโฉนดในที่สุด
แล้วยังมีนายหน้าบรรดาศักดิ์ ระดับคุณนายไม่รู้ว่ากี่คน ที่รับผลประโยชน์แบ่งปันกันเปรมปรีดิ์ ชนิดเนื้อๆ ภาษีไม่ต้องเสีย
ดังนั้น ถ้าจะสาวให้ถึงต้นตอจริงๆ ต้องควานให้ถึงตัวกลุ่มนายหน้า ที่ไปเสาะหาเอาที่ดินมาเสนอขาย หรือไปกว้านซื้อมาตามใบสั่ง แต่ละแปลงมีกี่คน กี่ทอด แต่ละทอดปั่นราคา ชาร์จราคากันมากี่เท่าตัว ซื้อขายจริงเท่าไหร่ แจ้งสำนักงานที่ดินเท่าไร
นายหน้านี้ จับเสือมือเปล่า ได้เนื้อๆ รับสดๆ เป็นฟ่อนๆ จากผู้ขาย ภาษีไม่ต้องเสีย
และจากสลักหลังของเอกสารสิทธิก็ระบุชัดเป็นที่ดินของใครมาก่อน ผ่านการจำนองใครบ้าง กี่ครั้งกี่หน ที่ดินบางแปลงหลังโฉนดบันทึกจนเลอะเทอะเต็มพรืดไปหมด รวมทั้งแผนที่ระวางที่ดิน ไม่น่าจะเป็นความลับทางราชการ
กรมที่ดินยืนยันโดยคณะกรรมการตรวจสอบว่า หลักฐานที่นำมาใช้ขอออกเอกสารสิทธิถูกต้องทุกขั้นตอน ทั้งอุทยานฯ ทั้งป่าไม้ องค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ดินข้างเคียงตรวจสอบแล้วลงนาม
ส่วนอุทยานฯ ว่า ป่าไม้จ่ายเงินชดเชยเจ้าของที่แล้ว แต่ ส.ค.1 ยังอยู่ในมือของผู้อ้างเป็นเจ้าของที่ โดยผู้จ่ายเงินไม่ได้ยึดไป และไม่ได้แจ้งให้กรมที่ดินทราบ เมื่อสำนักงานที่ดินส่วนแยกถลาง เจ้าของพื้นที่ขอตรวจสอบ และขอบัญชีรายชื่อผู้รับเงินชดเชย กลับ “อม” หลักฐานเฉยชิบ
หน่วยราชการทั้งคู่ ใครสร้างสถานการณ์ และทำกันเพื่ออะไร ใครได้ผลประโยชน์กันแน่ “ธรรมศักดิ์ ชนะ” ลูกหม้อกรมที่ดิน ประธานคณะกรรมการตรวจสอบชุดล่าสุด ต้องหาคำตอบมาเฉลยให้ได้ภายใน 60 วัน เพื่อศักดิ์ศรีขององค์กร และชำระครุฑสีแดงของโฉนดให้หมดมลทิน.