ชุมพร - ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 13 ยันพร้อมส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบโครงการ “สวนสัตว์เปิดป่าชายเลน” ที่ จ.ชุมพร เผยยังมีอีกมากนำภาษีรัฐไปสร้างปล่อยทิ้งร้างไร้ประโยชน์
จากกรณีโครงการสร้าง “สวนสัตว์เปิดป่าชายเลน” บริเวณพื้นที่ป่าชุมชน ม.4 บ้านเกาะแก้ว ต.ปากตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ด้วยงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท แต่สร้างเสร็จไม่ถึง 2 ปี ถูกปล่อยทิ้งร้างชำรุดพังเสียหาย กลายเป็นสวนสัตว์ร้างตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (10 มิ.ย.) นายพิชิต วรสุทธิไพบูลย์ ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 13 สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งดูแลรับผิดชอบในเขต 5 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวทางสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 ได้ทราบเรื่อง และดำเนินการตรวจสอบโครงการดังกล่าวมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 ซึ่งช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องของสัตว์เลี้ยงที่นำมาเพาะเลี้ยงในโครงการ ซึ่งเป็นการตรวจสอบรายละเอียดปลีกย่อยของโครงการเท่านั้น พร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาแก่ทางอำเภอทุ่งตะโกไปแล้ว และได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการดำเนินโครงดังกล่าวด้วย
แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบพบว่า มีทางเดินเท้าชำรุด จึงได้ทำหนังสือแจ้งให้อำเภอทุ่งตะโก และจังหวัดทราบ เพื่อให้ผู้รับจ้างในสัญญาทำการแก้ไขปรับปรุง และในช่วงเดือน ม.ค.57 ที่ผ่านมา ทางอำเภอทุ่งตะโก ได้มีหนังสือแจ้งกลับมาที่ สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 ว่า มี 2 รายการที่ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไข คือ สะพานเดินเท้า และจุดชมธรรมชาติ โดยให้เหตุผลว่า ระดับน้ำในบริเวณป่าโกงกางยังสูงอยู่ไม่สามารถดำเนินการซ่อมแซมพร้อมทั้งได้ขอเวลาในการดำเนินการ
นายพิชิต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 จะได้ดำเนินการทำหนังสือสอบถามไปยังอำเภอทุ่งตะโกอีกครั้งว่า ติดปัญหาในการดำเนินการอย่างไร และจะเข้าไปตรวจสอบสัญญาเพิ่มเติมอีกครั้งว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเร็วๆ นี้ เพราะเนื่องจากเวลาได้ผ่านล่วงเลยมานานพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ขอยืนยันว่า หากตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลก็จะดำเนินการให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งจะได้ประสานงานไปทางอำเภอทุ่งตะโก ให้จัดหางบประมาณมาดูแล หรือซ่อมแซม
นายพิชิต ยังกล่าวอีกว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่เกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าว และเป็นที่น่าเสียดายสำหรับเงินภาษีของรัฐที่ถูกนำไปใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์ และปล่อยให้ชำรุดเสียหายโดยไร้การดูแลจากผู้ดำเนินโครงการ
จากกรณีโครงการสร้าง “สวนสัตว์เปิดป่าชายเลน” บริเวณพื้นที่ป่าชุมชน ม.4 บ้านเกาะแก้ว ต.ปากตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ด้วยงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท แต่สร้างเสร็จไม่ถึง 2 ปี ถูกปล่อยทิ้งร้างชำรุดพังเสียหาย กลายเป็นสวนสัตว์ร้างตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (10 มิ.ย.) นายพิชิต วรสุทธิไพบูลย์ ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 13 สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งดูแลรับผิดชอบในเขต 5 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวทางสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 ได้ทราบเรื่อง และดำเนินการตรวจสอบโครงการดังกล่าวมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 ซึ่งช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องของสัตว์เลี้ยงที่นำมาเพาะเลี้ยงในโครงการ ซึ่งเป็นการตรวจสอบรายละเอียดปลีกย่อยของโครงการเท่านั้น พร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาแก่ทางอำเภอทุ่งตะโกไปแล้ว และได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการดำเนินโครงดังกล่าวด้วย
แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบพบว่า มีทางเดินเท้าชำรุด จึงได้ทำหนังสือแจ้งให้อำเภอทุ่งตะโก และจังหวัดทราบ เพื่อให้ผู้รับจ้างในสัญญาทำการแก้ไขปรับปรุง และในช่วงเดือน ม.ค.57 ที่ผ่านมา ทางอำเภอทุ่งตะโก ได้มีหนังสือแจ้งกลับมาที่ สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 ว่า มี 2 รายการที่ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไข คือ สะพานเดินเท้า และจุดชมธรรมชาติ โดยให้เหตุผลว่า ระดับน้ำในบริเวณป่าโกงกางยังสูงอยู่ไม่สามารถดำเนินการซ่อมแซมพร้อมทั้งได้ขอเวลาในการดำเนินการ
นายพิชิต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 13 จะได้ดำเนินการทำหนังสือสอบถามไปยังอำเภอทุ่งตะโกอีกครั้งว่า ติดปัญหาในการดำเนินการอย่างไร และจะเข้าไปตรวจสอบสัญญาเพิ่มเติมอีกครั้งว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเร็วๆ นี้ เพราะเนื่องจากเวลาได้ผ่านล่วงเลยมานานพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ขอยืนยันว่า หากตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลก็จะดำเนินการให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งจะได้ประสานงานไปทางอำเภอทุ่งตะโก ให้จัดหางบประมาณมาดูแล หรือซ่อมแซม
นายพิชิต ยังกล่าวอีกว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่เกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าว และเป็นที่น่าเสียดายสำหรับเงินภาษีของรัฐที่ถูกนำไปใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์ และปล่อยให้ชำรุดเสียหายโดยไร้การดูแลจากผู้ดำเนินโครงการ