ยะลา - ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 อ.รามัน จ.ยะลา ชี้แจงเหตุทหารขับรถยนต์ชนรถโดยสารนักเรียน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ซึ่งล่าสุด ได้เข้าพบญาติ และให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตระบุเป็นเหตุสุดวิสัย
วันนี้ (22 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดยะลาว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 อ.รามัน จ.ยะลา ได้ประสบอุบัติเหตุขับรถยนต์ไปชนกับรถโดยสารขนาดเล็ก ซึ่งบรรทุกนักเรียนกลับจากเลิกเรียนเพื่อกลับบ้าน เหตุเกิดบริเวณทางโค้งบ้านโกตาบารู ต.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อเวลาประมาณ 17.25 น. ของวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ค.57 ที่ผ่านมา จนทำให้มีนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย คนขับรถโดยสารเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บเป็นนักเรียนอีก 10 ราย หลังเกิดเหตุชาวบ้านที่ประสบเหตุ และอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้ช่วยกันนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลาเป็นการด่วน
จากนั้นได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีได้นำเหตุการณ์ดังกล่าวไปโพสต์ทางสื่อออนไลน์ และมีการเขียนข้อความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเจ้าหน้าที่ทหารเมา และหลบหนี ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น จนข่าวได้กระจายเป็นวงกว้างในสังคมออนไลน์ และเป็นที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก
ซึ่งภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ผู้สื่อข่าวได้ประสานไปยังหัวหน้าหน่วยของเจ้าหน้าที่ทหารที่ประสบเหตุ พร้อมทั้งญาติผู้เสียชีวิต เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อความกระจ่างชัด จึงได้รับการชี้แจงจาก ร.อ.สกล มีสัมฤทธิ์ ผู้บังคับหน่วย ร้อย ร.15221 หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ทหารที่ประสบเหตุดังกล่าว ซึ่งได้ชี้แจงว่า “จากกรณีที่เกิดเหตุการณ์ จ.ส.อ.นันทเวช จันทรัตน์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ขับรถยนต์ไปประสบอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้นนั้น ทางหน่วยก็ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยภายหลังเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งจาก พ.ท.รักศักดิ์ เบญจวรรณ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 และ พ.ท.สมคิด คงแข็ง ผบ.ร.152 พัน 1 ให้เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน และนักเรียนที่ประสบเหตุ
โดยนักเรียน และคนขับรถโดยสารที่เสียชีวิต ทางหน่วยได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเป็นการเบื้องต้นรายละ 1 หมื่นบาท และได้เข้าไปพบปะญาติพร้อมทั้งทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บอีก 9 ราย ได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นรายละ 4,000 บาท และหลังเกิดเหตุการณ์ก็ได้ระดมเจ้าหน้าที่ทหารในหน่วยไปบริจาคเลือดช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งเยี่ยมให้กำลังใจ ทำความเข้าใจกับญาติๆ แล้ว นอกจากนี้ ทางหน่วยยังรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ผู้ที่ประสบเหตุทุกรายด้วย” ร.อ.สกล มีสัมฤทธิ์ ผู้บังคับหน่วย ร้อย ร.15221 กล่าว
ร.อ.สกล มีสัมฤทธิ์ ผู้บังคับหน่วย ร้อย ร.15221 ระบุว่า สำหรับ จ.ส.อ.นันทเวช จันทรัตน์ ผู้ที่ประสบเหตุนั้น ได้ประสบเหตุขณะลาพัก และขับรถยนต์ส่วนตัวเพื่อกลับบ้าน ซึ่งก่อนหน้านั้น จ.ส.อ.นันทเวช จันทรัตน์ ได้ครบกำหนดลาพักเมื่อวันที่เสาร์ที่ 17 พ.ค.57 แต่ ได้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาขอปฏิบัติภารกิจหน้าที่ต่อ เนื่องจากต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่ ตามที่ได้รับมอบหมายยังไม่เสร็จสิ้น จึงได้ขอลาพักในวันอาทิตย์ ที่ 18 พ.ค.57 และขณะกำลังขับรถกลับบ้านพักในตัวเมืองยะลา ก็ได้ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวนั้นใกล้ค่ำ และมีฝนตกหนัก ทำให้ถนนลื่น รถยนต์ของ จ.ส.อ.นันทเวช จันทรัตน์ จึงได้เสียหลักไปชนกับรถโดยสารขนาดเล็ก หรือรถตุ๊กตุ๊ก ที่มีนักเรียนนั่งมาจำนวนกว่า 10 คน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งก็ได้สร้างความเสียใจให้แก่เจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ไม่ได้เจตนาจะให้เกิดเหตุการณ์สลดใจดังกล่าว ซึ่งทาง จ.ส.อ.นันทเวช จันทรัตน์ ก็ได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย และศีรษะ แต่ไม่สาหัส
ทางด้าน นายกอเดย์ ยาหะแม กำนันตำบลบือมัง ซึ่งเป็นญาติของ น.ส.พัศนันท์ มาดีโมง อายุ 17 ปี นักเรียนที่เสียชีวิตเปิดเผยว่า เมื่อได้ทราบเหตุก็ได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทหาร และหัวหน้าหน่วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารเอง ก็รุดไปให้ความช่วยเหลือญาติๆ ทั้งของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ซึ่งตนเองก็ได้ชี้แจงให้แก่ญาติๆ ได้เข้าใจ และไมได้ติดใจเอาความ หรือร้องเรียนแต่อย่างใด เพียงแต่รอให้ผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้น และเดินทางมาแจ้งความ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนกรณีที่มีผู้ไปโพสข้อความ หรือมีข่าวกระจายไปว่า ทหารไม่ได้ช่วยเหลือนั้นไม่เป็นความจริง ทางญาติๆ ของผู้เสียหายผู้บาดเจ็บทุกรายรู้กันดี ซึ่งคนที่เอาไปพูดให้เกิดความเสียหายไม่ได้เป็นญาติของผู้บาดเจ็บ และผู้ปะสบเหตุ แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด และหวังอะไรต่อการกระทำดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางด้านคดีความนั้น ร้อยเวรเจ้าของคดีได้นัดให้ญาติของผู้เสียหาย และฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าพบปะพูดคุยเจรจา เพื่อจะได้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป