xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนแม่-ลูกเสียชีวิตระหว่างคลอดกับ “ภาวะน้ำคร่ำอุดตัน” ฝันร้ายทางการแพทย์ที่คนอยากมีลูกควรรู้?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากอินเทอร์เน็ต
รายงานโดย...ศูนย์ข่าวภูเก็ต

จากกรณี 2 แม่ลูกเสียชีวิตหลังเข้าคลอดบุตรภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นปมปริศนาคาใจของสามีและญาติๆ ผู้เสียชีวิต ถึงกับออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากโรงพยาบาลต้นสังกัด และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข แพทยสภาและสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งรับศพเข้าตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิต

เนื่องเพราะฝ่ายสามีและญาติๆ ของผู้เสียชีวิตมองว่า อาจเป็นเพราะความละเลยของแพทย์ผู้ทำคลอด เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งหลักๆ แล้วมาจากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิดที่อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับการชี้แจงสาเหตุไม่ชัดเจนของแพทย์ และการยื่นมือเข้าช่วยเหลือและแสดงความรับผิดชอบล่าช้า ทั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาเกือบสัปดาห์ จึงกลายเป็นประเด็นให้เกิดการสนทนาในวงกว้าง

แน่นอนว่าทางแพทย์และโรงพยาบาลเองต้องได้รับผลกระทบจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก ขณะที่ครอบครัวและญาติๆ ผู้เสียชีวิตต้องเจ็บปวดกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่คาดฝันมาก่อน อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดจะคลี่คลายได้นั้น ก็ต้องรอผลตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย

หลังจากที่ทีมงาน “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ได้ติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝั่งผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ขอนำเสนออีกมุมมองที่เป็นความรู้ทางการแพทย์ที่ “จำเป็นต้องรู้” สำหรับหญิงที่ต้องการมีครรภ์ รวมถึงบุคคลทั่วไปซึ่งต้องการมีทายาท นั่นคือ...

ปัจจัยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ที่เรียกว่าภาวะฝันร้ายทางการแพทย์หรือ “ภาวะน้ำคร่ำอุดตัน”

แพทย์ด้านสูตินารีเวชเองถึงแม้จะมีประสบการณ์การทำคลอดมาหลายสิบปี ก็ประสบกับปัญหานี้เพียงไม่กี่ครั้ง เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ทั้งยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วทำให้ทั้งแม่และทารกมีโอกาสรอดน้อยมาก ถึงแม้จะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ในประเทศอังกฤษ หรือประเทศสหรัฐอเมริกา แพทย์เองไม่สามารถจะช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่มีอาการบ่งชี้ให้วินิจฉัยล่วงหน้ามาก่อน

ขณะนี้เองยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดที่จะค้นหาความผิดปกติของ “ภาวะน้ำคร่ำอุดตัน” ได้เลย ซึ่งแพทย์เองก็จะต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ จึงจะสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที แต่ในการช่วยเหลือก็ต้องเลือกระหว่างแม่กับลูกว่า จะให้ใครมีชีวิตรอด และไม่ว่าแม่หรือลูกที่มีชีวิตรอดก็ต้องเสี่ยงที่จะมีภาวะบกพร่องทางประสาท หรืออาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปชั่วชีวิต

เหตุผลนี้เองจึงต้องศึกษาและทำความรู้จักกับ “ภาวะน้ำคร่ำอุดตัน” มากยิ่งขึ้น

นพ.สมพงษ์ วันหนุน หัวหน้ากลุ่มงานสูตินารีเวช โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เปิดเผยว่า สาเหตุการเสียชีวิตของแม่และเด็กระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรมีอยู่หลักๆ แล้ว 3 สาเหตุคือ กรณีที่ 1 การตกเลือดของมารดาตั้งครรภ์ กรณีที่ 2 สาเหตุจากครรภ์เป็นพิษ เช่น กรณีของสาวมาด เมกกะแดนซ์ สองกรณีนี้มีข้อบ่งชี้หรือมีการแสดงอาการชัดเจน มีโอกาสรอดสูงหากสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ส่วนกรณีที่ 3 ซึ่งเรียกว่าฝันร้ายทางการแพทย์หรือ “ภาวะน้ำคร่ำอุดตัน” ชื่อทางการแพทย์ว่า Amniotic Fluid Embolism (AFE) หรือ Anaphylactoid syndrome of Pregnancy เป็นภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมที่มีความรุนแรง ประกอบด้วยลักษณะเฉพาะ 3 ประการคือ ภาวะความดันโลหิตต่ำอย่างทันทีทันใด (Hypotension) ภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia) และภาวะความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Comsumptive coagulopathy) ซึ่งผู้ป่วยอาจจะมีอาการแตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล ตั้งแต่ไม่มีอาการ หรือมีครบทั้ง 3 ภาวะก็เป็นได้

โดยเฉลี่ยการเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันหรือ AFE พบได้น้อยมาก ประมาณ 1 ใน 8,000 หรือ 1 ใน 80,000 รายของจำนวนหญิงตั้งครรภ์ แต่ก็เป็นสาเหตุการตายที่พบได้บ่อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว และอาจพบได้ในทุกอายุครรภ์ ตั้งแต่การขูดมดลูกในรายที่แท้งในช่วง 3 เดือนแรกช่วงตั้งครรภ์ การตรวจน้ำคร่ำในช่วง 3 - 6 เดือน แต่ส่วนมากจะพบในขณะเจ็บครรภ์รอคลอด และมีถุงน้ำคร่ำแตก หรือหลังคลอดทันที รวมถึงขณะผ่าตัดคลอด

โดยอาการผู้ป่วยจะแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยจะเริ่มจากระยะที่ 1 คือ ระยะภาวะไหลเวียนลิตล้มเหลว (Hemodynamic collapse) ระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มหายใจลำบาก เจ็บอก หนาวสั่น ปวดศีรษะ มีอาการตื่นตระหนก ปวดและชาตามปลายนิ้ว คลื่นไส้อาเจียน อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้นาน 4 ชั่วโมง จากนั้นจะมีอาการชัก หัวใจและปอดหยุดทำงานทันที ต่อมาในระยะที่ 2 จะมีภาวการณ์แข็งตัวของก้อนเลือดเล็กๆ กระจายทั่วร่างกาย ตามมาด้วยภาวะตกเลือดหลังคลอด และเสียชีวิตในที่สุด บางรายอาจจะไม่มีภาวะหายใจลำบาก หรือภาวะช็อกมาก่อน แต่จะมีภาวะเลือดไม่แข็งตัวอย่างรุนแรงเป็นภาวะหลักก็เป็นได้

โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันหรือ AFE ส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้หลายประการ เช่น การคลอดเร็ว มารดาอายุมาก เคยตั้งครรภ์แล้วหลายท้อง ทารกมีขนาดใหญ่ และการทำหัตถการต่างๆ เช่น ใช้คีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศ การผ่าตัดคลอด รกเกาะต่ำและมีเลือดออก รกลอกตัวก่อนกำหนด ปากมดลูกฉีกขาดจากกระบวนการคลอด ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ครรภ์เป็นพิษ การชักนำคลอดด้วยยาชนิดต่างๆ รวมถึงปัจจัยที่มาจากทารกในครรภ์ เช่น เส้นผม ไขมันจากผิวหนังทารก หรือแม้แต่ขี้เทาของทารกในครรภ์ ทุกส่วนล้วนสามารถเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันได้ในทุกกรณี จึงกล่าวได้ว่าไม่สามารถทำนายและป้องกันได้

ดังนั้น หากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นแพทย์จะต้องอาศัยความรวดเร็วในการวินิจฉัย การตัดสินใจ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของสูตินารีแพทย์และทีมงาน ทั้งนี้จะต้องมีเครื่องมือกู้ชีวิต ยาและเลือดที่พร้อมจะรักษาได้ทันท่วงที โดยเริ่มจากการให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ ป้องกันภาวะสมองและไตขาดเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อทารก การให้เลือดหรือเกร็ดเลือดเพื่อป้องกันภาวะไม่แข็งตัวของเลือด การให้สารละลายเพื่อทดแทนภาวะการขาดน้ำอย่างรวดเร็ว การประเมินความดันโลหิต พร้อมให้น้ำและยาในปริมาณที่เหมาะสมหากในรายที่มีปอดบวมน้ำ ภาวะช็อกรุนแรงไม่สามารถประเมินสารน้ำในร่างกายได้

นอกจากนี้แพทย์จะต้องพิจารณาผ่าตัดคลอดทันทีในรายที่มารดามีภาวะหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว และทารกมีอายุครรภ์มากพอที่จะเลี้ยงรอดได้ ซึ่งทั้งหมดจะต้องกระทำภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้อัตราการเสียชีวิตของมารดาจากภาวะ AFE สูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยจะเสียชีวิตในชั่วโมงแรกถึงร้อยละ 25 -50 ในรายที่พ้นจากระยะแรกไปแล้วจะเกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัวถึงร้อยละ 40 ส่วนผู้ที่รอดชีวิตมักจะมีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรงถึงร้อยละ 85 และมีเพียงร้อยละ 8 ของผู้รอดชีวิตที่สามารถรอดพ้นอันตรายโดยไม่มีความผิดปกติใดๆ ขณะที่ทารกที่รอดชีวิต ในรายที่หัวใจมารดาหยุดทำงานมีน้อยมาก และทารกที่รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็พบว่ามีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทเช่นกัน

จากข้อมูลทั้งหมดนี้เองจะพบว่า ทุกครั้งที่มีการทำคลอด แพทย์สูตินารีเวชและเจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องแบกรับความเสี่ยงของทุกๆ สองชีวิตที่ก้าวย่างผ่านประตูห้องคลอดเข้ามา ในบางครั้งแพทย์สูตินารีเวชจะต้องตัดสินใจแทนครอบครัวที่กำลังรออยู่เบื้องหลังว่า “จะเลือกแม่หรือทารก” หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกขณะ หากผิดพลาดทำให้สองชีวิตหมดลมหายใจก็จะกลายเป็นคนผิด ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างรุนแรง ทั้งที่พยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม

สิ่งเหล่านี้เองทำให้การเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันหรือ AFE ถูกขนานนามว่า “ภาวะฝันร้ายทางการแพทย์” ที่นอกจากแพทย์จะต้องพึงระวังแล้ว พ่อ-แม่ และครอบครัวที่ต้องการมีทายาทต้องศึกษาให้เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่ออีกด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาที่แผนกสูตินารีเวช โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ซึ่งกำลังยกระดับเป็นโรงพยาบาลศูนย์ในกลุ่มจังหวัดอันดามันนั้น ปัจจุบันต้องรองรับหญิงตั้งครรภ์ที่เดินทางมาคลอดบุตรถึงเดือนละ 500 - 600 ราย ไม่รวมกรณีการส่งตัวมาจากโรงพยาบาลอื่นๆ หรือการขอตรวจการตั้งครรภ์และเจาะตรวจน้ำคร่ำ

ถึงแม้หัวหน้ากลุ่มงานสูตินารีเวชจะยืนยันว่า จะมีบุคลากรที่เพียงพอกับการให้บริการ แต่ปัญหาที่อาจจะเผชิญในอนาคตอันใกล้ คือการขาดแคลนแพทย์สูตินารีเวชผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจุบันมีหลายท่านใกล้เกษียณอายุราชการ ขณะที่บุคลากรด้านสูตินารีเวชรุ่นใหม่มีอัตราการจบหลักสูตรน้อยลง และส่วนใหญ่ที่เรียนจบมากว่ากึ่งหนึ่ง เข้าทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือเปิดสถานพยาบาลขนาดเล็ก หรือคลินิกส่วนตัว ซึ่งได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าการเข้ารับราชการในโรงพยาบาลของรัฐ
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น