อีกครั้งในการโหยหาธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร เมืองไหนๆ ก็ไม่เหมือนป่าเมืองไทย เพราะรกครึ้มไปด้วยหมู่ไม้ และลำธาร น้ำตก ที่ต้องก้าวผ่าน ก่อนจะนำตัวเองขึ้นไปถึงยอดให้ได้ หลายคนบอกว่า ความสวยงามอยู่บนยอด แต่บ่อยครั้งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความสวยงามมีตลอดรายทาง ขอแค่ก้าวช้าหน่อย พักมากหน่อย ก็อาจได้เจอ
“เขาเจ็ดยอด” ชื่อที่นักท่องเที่ยวเดินป่าคุ้นเคย หลายคนเคยไป หลายคนยังไม่เคยไป ป่านี้มีทั้งน้ำตกจริง และน้ำตกร้าง ป่าที่มีหินก้อนใหญ่ๆ ปกคลุมด้วยมอส และเฟิร์น ป่าที่มียอดเขาสวยงามซึ่งเห็นได้กว้างไกลในวันที่อากาศดีๆ เพราะเป็นภูเขาที่อยู่คาบเกี่ยวกับหลายจังหวัด เช่น พัทลุง ตรัง และสตูล เพราะความที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด เราเลยจัดทริปขึ้นทางน้ำตกไพรวัลย์ ต.คลองเฉลิม อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ลงไปโผล่ที่หนานสะตอ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เสียเลย กับโปรแกรม 3 วัน 2 คืน
โดยเตรียมตัวขึ้นเป้ ที่น้ำตกไพรวัลย์ น้ำตกใหญ่ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง เพียงแต่เป้าหมายของเราอยู่สูงขึ้นไปมากมายเลยทีเดียว ระดับสูงจากน้ำทะเล 1,250 ม.แค่เริ่มแรกก็ทำเอาหอบแล้ว เพราะต้องไต่ขึ้นข้างๆ น้ำตกใหญ่ไพรวัลย์ ทางชันจนถึงด้านบนน้ำตก ที่เหลือเพียงธารน้ำใส ถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมานิดหนึ่ง พักเหนื่อยไม่ทันไร ก็ต้องไปต่อ เพราะเป้าหมายวันนี้อยู่ไกล ตั้งระยะการเดินก็น่าจะราวๆ 6 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าหนักเอาการ
เดินข้ามน้ำ ข้ามหินกันเกือบ 2 ชั่วโมง ก็โผล่ไปถึงลานทราย ก็แวะกินข้าวมื้อเที่ยง เล่นน้ำให้พอหายเหนื่อย แล้วก็ต้องเดินต่อปีนขึ้นเขาชันไปเรื่อยๆ และจากปกตินักท่องเที่ยวจะเดินเป็นคณะ จากนี้ไปก็จะเดินเป็นกลุ่มย่อย 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อย และจะไม่ต้องกดดันคนอื่นที่เดินช้ากว่าด้วย โดยมีไกด์นำทางคอยระวังหัว และท้ายขบวน เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวหลงทาง
ทริปนี้เดินกันดีเดือด จนถึงทางข้ามน้ำแอ่งลึก ที่มีเพียงหินก้อนใหญ่กั้นขวางอยู่ นั่นแหละถึงได้พักนานหน่อย ปลดทาก เติมน้ำดื่ม แล้วก็เล่นน้ำให้หายเหนื่อย เพราะจากนี้ไปยังต้องปีนทางชัน เลาะข้างธารน้ำกันไปเรื่อยๆ ลักษณะการเดินเหมือนไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย แล้วยังเป็นเส้นทางเลาะธารน้ำไปด้วยช่วงหลังๆ เริ่มพักกันถี่ขึ้น ไกด์นำทางผลัดกันเดินตาม ใครกำลังดีก็เดินไปก่อน จากเดิมที่ตั้งเป้าถึงที่หมายก่อน 6 โมงเย็น ตอนนี้ลดเวลาลงมาหน่อยเดินแค่ 5 โมงเย็น ก็ถึงที่หมายตั้งแคมป์ริมธารน้ำ หรือที่เรียกว่าหาดต้นมะไฟป่า ซึ่งเป็นลานดินเหมาะแก่การตั้งแคมป์พักแรม ในขณะที่มะไฟป่า ซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวจี๊ดสามารถนำมาปรุงอาหารทำเป็นแกงส้ม, ตำน้ำพริก และยำปลากระป๋องได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญในน้ำยังมี “ปลาพวง” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ปลาหวด” ซึ่งมีอยู่ชุกชุม สามารถนำมาทอด แกงส้ม และผัดเผ็ดก็อร่อย ส่วนที่บริเวณด้านหน้าที่พักจากลานทรายกลายเป็นลายหิน เนื่องจากอิทธิพลของน้ำป่า กับข้าวมื้อค่ำในป่าใหญ่อะไรๆ ก็อร่อยไปหมด
รุ่งขึ้น ไม่หวังได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น แค่จิบกาแฟริมน้ำก็สุขใจ วันนี้ล่ะที่เราจะขึ้นถึงยอดเขา โดยมีเป้าหมายไปนอนเล่นสัก 1 คืน เส้นทางเข้าป่าลึก บางช่วงชัน บางช่วงเดินสบายๆ แต่ทากชุมชะมัดตามรายทาง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนหลังพักมื้อเที่ยงตรงธารน้ำ ที่จะมุ่งเข้าไปสู่น้ำตกร้างและเป็นทางขึ้นยอดเขา จากนี้แหละที่ดูเหมือนเราจะต้องทำตัวรักก้อนหิน และสายน้ำกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทะลุขึ้นถึงยอดเขาเจ็ดยอด บ่ายแก่ๆ ฝนเริ่มมา
ระหว่างที่ไต่ตามก้อนหินที่หลายๆ ก้อนปกคลุมไปด้วยมอส และเฟิร์น ซึ่งสวยงามมาก แต่ตัดใจไม่ถ่ายรูปเพราะแสงน้อย แถมฝนทำท่าจะลงมาทักทายอยู่รอมร่อ เดินไต่ตามกันไปไม่หยุด จากฝนโปรยปราย กลายเป็นฝนหนัก ระยะทางยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงกิ๊วก๊าวของก๊วนหน้า เหมือนจะพ้นทางชันถึงประตูล่อนบนยอดเขาฟ้าเปิดวิวสวยมาก กลุ่มข้างล่างที่เหลือต่างเร่งฝีเท้าตามเสียงขึ้นไปชมให้ได้ชื่นใจกับเขาบ้าง
บรรยากาศข้างบนยอดเขาเป็นที่น่าตื่นใจยิ่งนัก มีต้นไม้แคระ สลับกับทุ่งหญ้าคล้ายๆ กับป่าสะวันนา ต่างคนต่างชี้ชวนกันดูยอดนั้น ยอดนี้ได้พักหนึ่ง ก็ตัดใจเอาแบบเฮือกสุดท้ายให้ถึงที่พักเลยดีกว่า ไกด์พาเลาะเดินตามเทรลข้างเขา ผ่านยอดนี้ขึ้นยอดนั้น ไปยอดนู้น เห็นหมอกขึ้นรำไรจนตอนแรกนึกไปว่า มีใครมาก่อกองไฟตรงที่เราพัก จนเดินถึง อ้อ...ไม่มีแฮะ มีแต่สายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ สร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่ธรรมชาติ และผู้ที่มาเยือนจัดการตั้งตั้งแคมป์กันเสร็จ เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะจะได้พักยาวหน่อย ต่างคนต่างจับจองพื้นที่ผูกเปลนอน มีทำเลให้เลือกเยอะ เพราะอยู่ในหุบเขาปกคลุมด้วยป่าโบราณ สามารถช่วยป้องกันลมได้เป็นอย่างดี
ตื่นเช้าจิบกาแฟร้อนๆ เพื่อคลายหนาว ก่อนจะชวนกันไปดูดวงอาทิตย์ขึ้น แค่เดินขึ้นเนินไม่กี่ก้าวก็เห็นทะเลหมอก ปกคลุมในแอ่งเขา จนต้องหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ กว่าจะถึงยอดเขา แสงเริ่มสาดเขาเป็นริมไลท์ เลยต้องเร่งฝีเท้าอีกหน่อยให้ถึงเนินเขา ก็ได้เห็นแสงวันใหม่ ที่มีก้อนเมฆใหญ่ๆ พยายามจะบดบัง แต่แสงก็ยังลอดส่องลงมากระทบผืนน้ำกว้างๆ “นั่นไง ทะเลสาบสงขลา” ไกด์นำทางบอก วันนี้ถือว่าโชคดีที่เห็นวิวเปิดได้ไกล เขาลูกเล็กๆ ดูเป็นตะปุ่มตะป่ำในหุบ ยอดไม้แน่นๆ ในหุบล้อแสงแดด และหมอกบางๆ ปุยเล็กๆ ยามเช้า ดูสดใส ถ่ายรูปกันจนลืมนึกถึงอาหารเช้ากันไปเลย
สายๆ ถึงได้ลงมาจัดการมื้อเช้า 9 โมงเป๊ะ เก็บแคมป์เรียบร้อยออกเดินทาง เราเดินฉีกไปอีกด้านของเขามา เพื่อลงเขาด้านฝั่งจังหวัดตรัง เป้าหมายอยู่ที่หนานสะตอ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ก่อนบ่ายสอง ทางเลาะเขาลงชันเรื่อยๆ มีข้ามธารน้ำนิดหน่อย ผิดกลับฝั่งพัทลุง พวกเราแวะพักเที่ยงกันบริเวณริมธารน้ำใหญ่ แต่ก็อยู่ไม่ได้นานเพราะฝนมาห่าใหญ่ ตัวบีบคั้นให้เราต้องเร่งเดินทางแข่งกับเวลา แล้วไม่นานก็หลุดออกสู่ป่ายาง จากจุดนี้อีกราว 40 นาที เราก็โผล่หน้ามาเจอกับป้าย “หนานสะตอ” และธารน้ำ ที่หมายปลายทางของเรา ทุกคนจัดแจงอาบน้ำกันที่น้ำตกนี่แหละ
การเดินป่านั้นนักท่องเที่ยวจะต้องมีความพร้อมทางด้านสุขภาพ และมีอุปกรณ์เดินป่า โดยเฉพาะเครื่องนอนป้องกันหนาว เนื่องจากบนยอดเขาจะมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี มีหมอกปกคลุมตลอดคืน อุณหภูมิประมาณ 13-23 องศา ที่สำคัญจะต้องมีผู้นำทางที่มีความชำนาญกับการใช้ชีวิตอยู่กลางป่าจะต้องแจ้งการเดินทางล่วงหน้าเพื่อที่จะได้จัดเตรียมอุปกรณ์และทำเรื่องขออนุญาตเข้าป่ากับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัดให้ถูกต้องอีกด้วย
ภาพ/เรื่อง - ไสว รุยันต์