นครศรีธรรมราช - อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ทำประชาคมภายในเพื่อร่วมกันตรวจสอบไร่แตงโม ก่อนยอมรับเกิดจากความผิดพลาดที่ไม่ได้มีการสื่อสาร แต่ยังอยู่ในกรอบของการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อตั้งมหาวิทยาลัย
ภายหลังจากที่มีการตรวจสอบไร่แตงโมหลายสิบแปลงที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยมีการตั้งข้อสังเกตจากเครือข่ายศิษย์เก่า นักศึกษา อาจารย์ บุคลากร รวมทั้งเครือข่ายภาคประชาสังคมของอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงความโปร่งใส่ในการจัดสรรพื้นที่ให้แก่เกษตรกร และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดไม้ปรับไถพื้นที่ รวมทั้งผลกระทบจากการใช้สารเคมีในมหาวิทยาลัยที่ขัดกับทิศทางการประกาศเป็นมหาวิทยาลัย “กรีนแคมปัส”
ความคืบหน้า วันนี้ (28 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายของวานนี้ ดร.กีร์รัตน์ สงวนไทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้เรียกผู้บริหารทุกส่วนงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าทำประชาคมพูดคุยทำความเข้าใจ และชี้แจงจากผู้ที่รับผิดชอบอย่างทั่วถึง ซึ่งพบว่าพื้นที่ทั้งหมดที่มีการทำไร่แตงโมนั้นมีอยู่ จำนวน 438 ไร่ จำนวนเกษตรกรรวม 25 ราย และยืนยันว่าเกษตรกรที่เข้ามานั้นเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อตั้งมหาวิทยาลัยทั้งหมด โดยเป็นโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546 ขณะที่มีพื้นที่บางส่วนที่ต้องปรับพื้นที่เพื่อการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำไร่แตงโม และยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดในเรื่องของการสื่อสารที่ทำให้ประเด็นปัญหากลายเป็นเรื่องที่ลุกลาม โดยหลังจากนี้จะมีการปรับกระบวนการให้มีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายมากขึ้น
ภายหลัง ดร.กีร์รัตน์ สงวนไทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่ดีมาก และต้องขอบคุณความห่วงใยในเครือข่ายศิษย์เก่า และประชาชนในพื้นที่ ยอมรับว่าบางเรื่องนั้นอาจเป็นข้อไม่เข้าใจ และการสื่อสารที่ไม่ทั่วถึง หลังจากนี้ทุกฝ่ายจะทำงานกันเป็นเนื้อเดียว และคณะทำงานที่จะมาดูแลวางทิศทางการพัฒนาการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเป็นมหาวิทยาลัย และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งข้อสรุปนั้นน่าดีใจมาก
ขณะที่เครือข่ายศิษย์เก่า นักศึกษา บุคลากร อาจารย์ และประชาชน ได้ออกเอกสารเพื่อเป็นข้อเสนอแนะ สรุปความได้ว่า หลักการที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ ต้องมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่า และเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ทำกินของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย แต่ทั้งนี้ ต้องไม่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ป่าไม้ดั้งเดิม ไม้พุ่มเตี้ย ยกเว้นพื้นที่นารกร้างที่เป็นทุ่งโล่ง และต้องเปิดโอกาสให้ทุกครอบครัวเข้ามาใช้ประโยชน์ชั่วคราวในพื้นที่มหาวิทยาลัย โดยไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และโครงสร้างการพัฒนามหาวิทยาลัย
“ดังนั้น ข้อเสนอที่สำคัญคือ 1.มหาวิทยาลัยต้องมีกระบวนการระดมความเห็นของประชาคมเพื่อจัดทำผังแม่บทการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ระยะสั้น ในแผน 3 ปี 5 ปี 10 ปี และแผนระยะยาว 15-30 ปีข้างหน้า เพราะทุกฝ่ายได้เข้าใจ และเห็นภาพร่วมกันในการพัฒนามหาวิทยาลัยในอนาคต 2.การเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเพื่อทำมาหากิน ทั้งรายที่ได้ดำเนินการไปแล้วแ ละรายใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม” เอกสารฉบับนี้ระบุ
นอกจากนั้น ยังมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ พื้นที่ที่ได้ดำเนินการทำไร่แตงโม หรือปลูกพืชระยะสั้นไปแล้ว ให้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นฤดูกาล แล้วต้องสลับเป็นพืชระยะสั้นอื่นๆ หมุนเวียน มหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย เข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินของมหาวิทยาลัยเพื่อทำกินได้ไม่เกินครอบครัวละ 5 ไร่ การเข้ามาใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่มหาวิทยาลัยของชุมชน ต้องเป็นการทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรปลอดสารพิษเท่านั้น และชุมชนต้องปลูกป่าพื้นเมืองดั้งเดิม ไม้ยืนต้น ผสมผสาน และต้องดูแลบำรุงรักษาต้นไม้ให้เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการทำกิน และต้องคืนพื้นที่ หากมหาวิทยาลัยต้องการใช้ประโยชน์ที่ดินทันที
มหาวิทยาลัยควรจัดแบ่งพื้นที่เป็นโซน และให้หน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย หรือองค์กรต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นอาสาสมัครในการปลูกป่าทดแทน และดูแลป่า ควบคู่ไปกับการสนับสนุนทางวิชาการ และส่งเสริมอาชีพชุมชน โดยอาจมีการกำกับดูแลในรูปแบบคณะกรรมการ หรืออื่นๆ มหาวิทยาลัยควรแก้ไขปัญหาการเลี้ยงวัวภายในมหาวิทยาลัย โดยการจำกัดบริเวณ และพื้นที่การเลี้ยง และจัดการเพื่อใช้ประโยชน์จากมูลวัวมาสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ของชุมชน ทั้งหมดเป็นร่างข้อเสนอ และทางออกอย่างสร้างสรรค์เพื่อจัดการกับปัญหาการใช้ที่ดินภายในมหาวิทยาลัย และเป็นการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม เอกสารฉบับนี้ระบุ