พังงา - พบสองผัวเมียลูกจ้างรับกรีดยางพารา พื้นที่บ้านในหงบ ต.ตากแดด อ.เมืองพังงา ถูกฆาตกรจับมัดมือ พร้อมฆ่าปาดคอเสียชีวิตคาสวนยางฯ ตำรวจคาดคนร้ายมีมากกว่า 1 ราย ชี้น่าจะถูกปล้นทรัพย์ก่อนลงมือฆ่าปิดปากอำพรางคดี
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (9 ก.พ.) ร.ต.ท.ดุสิต ผ่องพันธ์ พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองพังงา ได้รับแจ้งเหตุจากพลเมืองดีว่า ชาวบ้านพบศพ 2 ผัวเมียคนงานสวนยางในพื้นที่บ้านในหงบ ต.ตากแดด อ.เมือง จ.พังงา จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนออกตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.อรุณ แกล้ววาที พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ หัวหน้างานสอบสวน สภ.เมืองพังงา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน นพ.มนตรี ธนกิจ แพทย์เวรโรงพยาบาลพังงา และหน่วยกู้ภัยพังงา
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักคนงานไม่มีเลขที่ ในสวนยางพาราของ นายสำเร็จ เมฆประสิทธิ์ ผอ.โรงเรียนบ้านบ่อแสน อ.ทับปุด จ.พังงา อยู่ใกล้กับบ่อกำจัดขยะเทศบาลเมืองพังงา บ้านในหงบ หมู่ที่ 3 ต.ตากแดด อ.เมืองพังงา ตรวจสอบพบว่า ภายในบ้านมีร่องรอยการต่อสู้ และการรื้อค้นกระจุยกระจาย และพบศพ นายวิน นีวต์ อายุ 46 ปี พร้อมด้วย นางคิ่น นีวต์ อายุ45 ปี เป็นชาวพม่า สภาพศพผู้ชายนอนคว่ำหน้า ผู้หญิงนอนหงาย ถูกมัดด้วยเชือกที่ข้อมือทั้ง 2 คน ที่ลำคอถูกเชือดด้วยของมีคมจนเป็นแผลเหวอะหวะ ทั้ง 2 ศพกลิ่นเลือดเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง จากนั้นจึงรีบนำศพไปชันสูตรเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลพังงา
จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตาย 2 ผัวเมียเป็นคนงานรับจ้างกรีดยางที่สวนยางพาราแห่งนี้มาประมาณ 2 ปีแล้ว มีนิสัยดี และซื่อสัตย์ เป็นที่รักของนายจ้าง และเพื่อนบ้านมีเงินให้คนอื่นหยิบยืมอีกด้วย โดยในเวลาประมาณ 19.00 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ก.พ.) ทั้งคู่ได้ไปเอาแบตเตอรี่ที่นำไปชาร์จกลับมาไว้ที่บ้านของเพื่อนบ้านในละแวกนั้น เพื่อนำมาใช้ที่บ้านพักของตน พอกลับมาถึงบ้านคาดว่า คนร้ายซึ่งน่าจะมีมากกว่า 1 คน ได้อาศัยความมืดซุ่มรอผู้ตายอยู่ที่หลังบ้าน พอผู้ตายเปิดประตูเข้าไปในบ้านคนร้ายก็ตามเข้าไปล็อกตัว และมัดมือ และบังคับให้บอกที่ซ่อนทรัพย์สิน หรืออะไรบางอย่าง หลังจากได้แล้วจึงลงมือสังหาร เนื่องจากต้องการปิดปาก โดยใช้ของมีคมเชือดที่ลำคอฝ่ายชาย 6 แผล และฝ่ายหญิง 2 แผล จนเสียชีวิตในที่สุด
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมหลักฐาน พร้อมประสานกองพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อติดตามกลุ่มคนร้ายใจโหดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป