xs
xsm
sm
md
lg

รายงานสถานการณ์ยางพารา และแนวโน้มรายไตรมาส ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 (ม.ค.-มี.ค.)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย... ธีรวุฒิ อ่อนดำ ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
 
สถานการณ์แนวโน้มผลผลิตยางธรรมชาติโดยรวมของโลก ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 (มกราคม-มีนาคม) คาดว่าปริมาณผลผลิตโดยรวมลดลง ขณะที่ความต้องการใช้ยางธรรมชาติโดยรวมของโลกคาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว หากแต่ความต้องการใช้ในประเทศพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงในปัจจุบัน
 
ทั้งนี้ เนื่องจากยอดจองซื้อรถยนต์หายไป หลังถูกดึงไปใช้ล่วงหน้าในโครงการรถยนต์คันแรกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับอุปสงค์รวม (Total Demand) ในประเทศที่เริ่มชะลอตัว ผสมโรงกับปัจจัยทางด้านการเมืองไทยปัจจุบัน
 
ดังนั้น ในระยะสั้นอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการชะลอการลงทุนออกไป ส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้ยางธรรมชาติในประเทศ ดังนั้น ในภาพรวมคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณความต้องการของยางธรรมชาติในตลาดโลก
 
ด้านแนวโน้มการส่งออกของไทย แม้คาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกลดลง แต่โดยภาพรวมแล้วมองว่าการส่งออกยังถูกจำกัดโดยปริมาณผลผลิต และความต้องการใช้ในประเทศแทน
 
สำหรับแนวโน้มราคายาง คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ในกรอบแคบๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญคือ
 
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของโลกลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.4% เป็น 2.2% (ธนาคารโลก : World Bank)
 
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของประเทศจีน ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 8.0% เป็น 7.7% (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ : IMF)
 
- ปริมาณสต๊อกยางธรรมชาติของโลกที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงผลผลิตยางธรรมชาติที่สูงกว่าความต้องการใช้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาไม่ให้สูงขึ้น
 
สถานการณ์ผลผลิต ความต้องการใช้ และสต๊อกของโลก
 
จากข้อมูลสถิติของ International Rubber Study Group (IRSG) เปรียบเทียบปี 2555 และ 2556 พบว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ผลผลิตยางธรรมชาติของโลกมีจำนวน 3,033 พันตัน ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด แต่เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ปริมาณความต้องการใช้มีจำนวน 2,900 พันตัน เพิ่มขึ้น 11.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 2.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และปริมาณสต๊อกของโลกมีจำนวน 2,650 พันตัน เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 34.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (ดูตารางที่ 1)
 

 
และจากข้อมูลสถิติยางสังเคราะห์ของ International Rubber Study Group (IRSG) เปรียบเทียบปี 2555 และ 2556 พบว่า ไตรมาส 4 ปี 2556 ผลผลิตยางสังเคราะห์ของโลกมีจำนวน 3,996 พันตัน เพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 3.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และปริมาณความต้องการใช้มีจำนวน 4,004 พันตัน เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 
 
ขณะที่ปริมาณสต๊อกของโลกมีจำนวน 4,792 ลดลง  0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด แต่เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (ดูตารางที่ 2)
 

 
สถานการณ์ผลผลิต ความต้องการใช้ และสต๊อกของไทย 
 
จากข้อมูลสถิติของสถาบันวิจัยยาง เปรียบเทียบปี 2555 และ 2556 พบว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ผลผลิตยางธรรมชาติของไทยมีจำนวน 965 พันตัน ลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด แต่เพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (ดูตารางที่ 3)
 

 
โดยคิดเป็นสัดส่วนปริมาณผลผลิต เทียบกับปริมาณผลผลิตของทั้งโลกไตรมาสที่ 3 และ 4 ปี2556 เท่ากับ 37.1% และ 31.8% ตามลำดับ (ตารางที่ 4)
 

 
และปริมาณการส่งออกของไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2556 มีจำนวน 635 พันตัน ลดลง 29.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด แต่เพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ปริมาณใช้ในประเทศมีจำนวน 330 พันตัน เพิ่มขึ้น 22.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 35.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และปริมาณสต๊อกมีจำนวน 1,895 พันตัน เพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 46.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (ดูตารางที่ 3)
 
โดยประเทศส่งออกยางธรรมชาติที่สำคัญของไทย ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 คือ ประเทศจีน มีปริมาณการส่งออกทั้งหมด 547 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 60.9% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดของไทย รองลงมาคือ มาเลเซีย และญี่ปุ่น มีปริมาณการส่งออกทั้งหมด 95 พันตัน และ 56 พันตัน คิดเป็น 10.6% และ 6.2% ตามลำดับ ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
 
โดยปริมาณการส่งออกไปยังประเทศจีน เปรียบเทียบปี 2555 และ 2556 พบว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ผลผลิตยาง ธรรมชาติของโลกมีจำนวน 547 พันตัน เพิ่มขึ้น 54.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 23.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ปริมาณการส่งออกไปยังมาเลเซีย มีจำนวน 95 พันตัน เพิ่มขึ้น 28.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด แต่ลดลง 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และปริมาณการส่งออกไปยังญี่ปุ่น มีจำนวน 56 พันตัน ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด และ 22.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (ตารางที่ 5)
 

 
สถานการณ์ราคาในประเทศ 
 
จากข้อมูลสถิติราคายางพารา โดยสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ณ ตลาดกลางยางพารา อำเภอหาดใหญ่ พบว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคายางพาราปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยรายเดือน ยางแผ่นดิบชั้น 3 ยางแผ่นรมควันชั้น 3 และราคาน้ำยางสด อยู่ที่ 87.5, 89.8 และ 81.7 บาท/กก. ตามลำดับ ลดลงคิดเป็น 16.5% 15.1% และ 13.3% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนมกราคม ต้นปีที่ผ่านมา (ดูแผนภาพที่ 1)
 

 
แนวโน้มผลผลิต ความต้องการใช้โดยรวม การส่งออกของไทย และราคาในประเทศ 
 
แนวโน้มผลผลิตยางธรรมชาติโดยรวมของโลกไตรมาสที่ 1 ปี 2557 (มกราคม-มีนาคม) ประกอบกับการประมาณการโดยใช้ข้อมูลสถิติที่ผ่านมา คาดว่าปริมาณผลผลิตโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 (ตุลาคม-ธันวาคม) ทั้งนี้ แม้ว่าจากข้อมูลสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าหลายประเทศในทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้ เช่น ไนจีเรีย ไลบีเรีย แคเมอรูน บราซิล และกัวเตมาลา ต่างหันมาปลูกยางพาราเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตที่สำคัญ (คิดเป็นจำนวนผลผลิต 31.8% ของประมาณผลผลิตทั้งโลก) โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ของประเทศกำลังประสบกับช่วงมรสุม ระหว่างช่วงกลางเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ทำให้พื้นที่ภาคใต้มีฝนตกชุก ไม่เอื้อต่อการกรีดยาง ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง ส่งผลโดยรวมต่อปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติของโลก
 
ด้านแนวโน้มความต้องการใช้ยางธรรมชาติ ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 (มกราคม-มีนาคม) คาดว่าปริมาณความต้องการใช้โดยรวมของโลกมีแนวโน้มทรงตัว แม้ว่าไตรมาสล่าสุดปริมาณความต้องการใช้จะกลับมาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังคงมีสาเหตุมาจากความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจโลก โดยข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของโลกปีนี้จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.4% เป็น 2.2% และที่สำคัญปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน โดยข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของจีน ปี 2013 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 8.0% เป็น 7.7% ด้วยเช่นกัน
 
แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศผู้บริโภคยางธรรมชาติที่สำคัญของโลก เนื่องจากฐานการผลิตยางล้อชั้นนำของโลกอยู่ที่ประเทศจีน ประกอบกับกลุ่มตลาดส่งออกที่สำคัญของจีน คือ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ยังคงประสบปัญหาวิกฤติทางการเงิน ซึ่งอาจกระทบทำให้การส่งออกล้อรถยนต์ของจีนลดลง ดังนั้น การนำเข้ายางธรรมชาติของจีนจึงมีแนวโน้มชะลอตัวลง
 
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ และส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้ยางธรรมชาติ ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันถือเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนยางธรรมชาติที่สำคัญ ดังนั้น ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคายางธรรมชาติ จึงทำให้ความต้องการใช้ยางสังเคราะห์ลดลง
 
ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากยอดจองซื้อรถยนต์หายไป หลังถูกดึงไปใช้ล่วงหน้าในโครงการรถยนต์คันแรกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับอุปสงค์รวม (Total Demand) ในประเทศที่เริ่มชะลอตัว จากประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ลดลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสภาพัฒน์ ผสมโรงกับปัจจัยทางด้านการเมืองไทยปัจจุบัน ดังนั้น ในระยะสั้นจึงอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการชะลอการลงทุนออกไป ส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้ยางธรรมชาติในประเทศ ดังนั้น ในภาพรวม อุปสงค์รวม (Total Demand) จึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณความต้องการของยางธรรมชาติในตลาดโลก
 
ด้านแนวโน้มการส่งออกของไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2557 (มกราคม-มีนาคม) คาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด สืบเนื่องจากอุปทาน (Supply) หรือปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติในประเทศที่มีแนวโน้มลดลง แต่ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่อาจทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้น แต่โดยภาพรวมแล้วการส่งออกยังถูกจำกัดโดยปริมาณผลผลิต และความต้องการใช้ในประเทศแทน
 
สำหรับแนวโน้มราคายาง คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ในกรอบแคบๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญคือ
 
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของโลก ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.4% เป็น 2.2% (ธนาคารโลก : World Bank)
 
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP’s Growth) ของประเทศจีน ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 8.0% เป็น 7.7% (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ : IMF)
 
- ปริมาณสต๊อกยางธรรมชาติของโลกที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลผลิตยางธรรมชาติที่สูงกว่าความต้องการใช้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาไม่ให้สูงขึ้น
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น