ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองผู้การภูเก็ต นำทีมชุดสืบสวนตำรวจภูธรกะทู้ คุม 3 ผู้ต้องหาชาวต่างชาติเจาะตู้เอทีเอ็ม ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ อึ้งพบอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุสุดทันสมัยหายากในประเทศไทย เตรียมสอบขยายผลเพิ่มเติมเกี่ยวแก๊งแฮกข้อมูลเอทีเอ็ม หลังพบมีกล้องสำหรับติดที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อแสกนข้อมูล
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (9 ธ.ค.) พ.ต.อ.อรุณ แกล้ววาที รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิรภัทร โพธิ์ชนะพันธ์ ผกก.สภ.กะทู้ พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง สว.สส.สภ.กะทู้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.กะทู้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นำ นายเยซิด อเล็กซานเดอร์ (Mr.Yesid Alexander) อายุ 50 ปี สัญชาติเม็กซิโก นายกอริน สุธา (Mr.Guarin Suta หรือ Luis Fernando) อายุ 45 ปี สัญชาติโคลัมเบีย และ Mr.carlos Arturo Amariles Marin อายุ 57 ปี สัญชาติโคลัมเบีย ผู้ต้องหาคดี ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นนั้นไปด้วยประการใดๆ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อ เพื่อให้พ้นจากการจับกุม ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมได้ตามหมายจับของศาลจังหวัดภูเก็ต เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ในพื้นที่เขตพญาไท กรุงเทพฯ และนำตัวกลับมาถึงจังหวัดภูเก็ตเมื่อคืนที่ผ่านมา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่บริเวณตู้เอทีเอ็มธนาคารธนชาต หน้าสวนสาธารณะโลมา หาดป่าตอง ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ รวมถึงจุดที่คนร้ายได้นำกล่องใส่เงินไปทิ้งซึ่งอยู่ด้านหลังตู้เอทีเอ็มไปประมาณ 200 เมตร
สำหรับการทำแผนประกอบคำรับสารภาพในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหามาถึงสถานีตำรวจภูธรกะทู้ จ.ภูเก็ต พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสอบปากคำผู้ต้องหาทันที จนรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า นาย Mr.carlos. Arturo Amariles Marin อายุ 57 ปี สัญชาติโคลัมเบีย ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแก๊ง โดยมีนายกอริน สุธา (Mr.Guarin Suta หรือ Luis Fernando) อายุ 45 ปี สัญชาติโคลัมเบีย ทำหน้าที่เจาะตู้เอทีเอ็ม และนายเยซิด อเล็กซานเดอร์ (Mr.Yesid Alexander) อายุ 50 ปี สัญชาติเม็กซิโก ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ซึ่งกลุ่มคนร้ายใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการก่อเหตุครั้งนี้
ซึ่งจากการจับกุมครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดของกลางได้ จำนวน 24 รายการ ประกอบด้วยเอกสารการโอนเงินไปต่างประเทศ 2 ฉบับ ท่อเหล็กขนาดเล็ก 15 ท่อ แม่เหล็กทรงกระบอกขนาดเล็ก จำนวน 1 อัน อุปกรณ์เป่าลม จำนวน 1 อัน ท่อทองแดง 1 อัน ถุงดำ 1 ถุง เงินไทยฉบับ 500 บาท จำนวน 46 ฉบับ เงินไทยฉบับละ 100 บาท จำนวน 22 ใบ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง กล้องถ่ายรูป 1 เครื่อง เสื้อผ้าอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้น ยังพบของกลางอย่างที่ไม่ค่อยพบมีคนใช้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเจาะตู้เซฟ เช่น หัวแก๊สสำหรับตัดโลหะ อุปกรณ์ถอดรหัสตู้เซฟ ท่อส่องดูกลไกของตู้เซฟ หัวแก๊สที่สามารถเชื่อกับถังแก๊สได้ทุกชนิด
พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง สว.สส.สภ.กะทู้ กล่าวว่า จากการสอบสวนสืบสวนทราบว่า กลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยบินมาจากแม็กซิโก มาต่อเครื่องที่สิงคโปร์ และมาลงเครื่องที่หาดใหญ่ หลังจากนั้นคนร้ายได้เช่ารถยนต์เก๋งซูซูกิ สวิฟท์ สีแดง ป้ายทะเบียน กฉ 2716 กระบี่ มาจากจังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา และแวะซื้ออุปกรณ์บางอย่างที่ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในพื้นที่ถลาง โดยเข้ามาพักอยู่ในพื้นที่ป่าตองเพื่อดูลาดเลา และลงมือก่อเหตุเมื่อคืนวันที่ 2 ธ.ค. โดยมีนายเยซิด อเล็กซานเดอร์ (Mr.Yesid Alexander) ขับรถไปส่ง นาย Mr.carlos. Arturo Amariles Marin อายุ 57 ปี และนายกอริน สุธา (Mr.Guarin Suta หรือ Luis Fernando) อายุ 45 ปี ที่ตู้เอทีเอ็มที่เกิดเหตุเพื่อปฏิบัติการเจาะตู้เอทีเอ็ม ส่วนคนขับรถได้ขับรถวนเวียนอยู่บนถนนเพื่อรอรับ ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงคนร้ายก็สามารถนำเงินออกตู้เอทีเอ็ม ซึ่งหลังจากได้กล่องเงินมาแล้วได้นำกล่องเงินไปทิ้ง และขับรถออกจากจังหวัดภูเก็ตทันที และนำรถไปคืนที่กระบี่ หลบหนีเข้ากรุงเทพฯ เพื่อกบดาน
“อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของกลางที่ตรวจยึดได้พบว่ามีของบางอย่างที่คนร้ายน่าจะใช้สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแฮกข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะต้องเร่งสอบสวนเพิ่มเติมว่าคนร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งแฮกข้อมูลบัตรเอทีเอ็มหรือไม่ ส่วนกรณีที่คนร้ายไม่ได้หยิบเอากล่องใส่เงินอีก 1 กล่อง ซึ่งอยู่ด้านบนสุดภายในตู้ และมีเงินสดอยู่ประมาณ 1,400,000 บาท จากการสอบถามทราบว่า กล่องใส่เงินดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายมากที่สุดจากการใช้หัวเชื่อมโลหะตัดแผ่นเหล็ก และคิดว่าเงินที่อยู่ภายในคงจะถูกไฟไหม้เสียหาย จึงไม่ได้หยิบเอาไป