นครศรีธรรมราช - สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชเตรียมชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเป็นจังหวัดนำร่อง หนุนเวทีใหญ่ กทม.ขณะที่ “วิทยา แก้วภราดัย” ระบุว่าหากปล่อยให้ผ่านไปได้เท่ากับทำลายระบบนิติรัฐโดยสิ้นเชิง
เมื่อเวลา 17.00 น.วันนี้ (30 ต.ค.) ที่ห้องประชุม อบจ.นครศรีธรรมราช นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าร่วมประชุมผู้นำสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราช จากทั่วทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเตรียมความพร้อมในการชุมนุมบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นการชุมนุมในต่างจังหวัดจุดแรก ต่อจากการชุมนุมที่บริเวณใกล้กับสถานีรถไฟสามเสน กรุงเทพมหานคร โดยจะมีการชุมนุมอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอย่างเต็มที่ และจะมีการนำมวลชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเดินทางไปร่วมชุมนุมจุดใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร และเนื้อหาการชุมนุมจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร คือการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
โดยในที่ประชุม นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าจะเป็นการเปิดฉากสู้กับระบอบทักษิณอย่างเต็มที่ ส.ส.ทุกคนยุติปัญหาภายในทั้งหมด และทั้งหมดจะมาต่อสู้ร่วมกันอย่างเต็มที่ มาสู้กับระบอบทักษิณโดยเฉพาะ และเมื่อถึงเวลาที่มีความจำเป็นนั้น ผู้ชุมนุมจะเดินขึ้นไปบนศาลากลางไปยกมือไหว้ข้าราชการที่ปฏิบัติงานให้ร่วมกันหยุดงานเพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ การชุมนุมของชาวนครศรีธรรมราชจะเป็นที่แรกต่อจากการชุมนุมที่ กทม.
นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเจตนาที่จะล้างผิดให้แก่ทักษิณตั้งแต่ปี 2547 มาจนถึงสิงหาคม 2556 สรุปในส่วนของทักษิณหากแก้ได้ 5 คดีที่ยังค้างอยู่ในศาล และตัดสินไปแล้ว 2 คดีจะจบลงทันที เงินที่ทุจริตถูกยึดมาจะได้คืนพร้อมดอกเบี้ย การที่อัยการสั่งฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการบังคับให้รับกฎหมายนิรโทษกรรม สิ่งที่อัยการได้คือเงินบำเหน็จ 10 ล้านบาทที่อนุมัติไปทันทีในวันรุ่งขึ้น
นายวิทยากล่าวอีกว่า หากปล่อยให้กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ออกไปได้ เท่ากับสังคมประเทศไทยในอนาคตไม่สามารถใช้กฎหมายได้อีกต่อไป ใครที่ชนะการเลือกตั้งสามารถที่จะนิรโทษกรรมตัวเองได้ และในโลกนี้ไม่มีประเทศไหนที่จะมีการนิรโทษความผิดคอร์รัปชัน ไม่มีประเทศไหน แต่รัฐบาลของประเทศไทยได้ทำเองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง สังคมไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีการเมืองที่นายทุนรวยที่สุดมาทำ โดยการใช้วิธีซื้อผู้แทน ซื้อเสียง ซื้อพรรค ซื้อรัฐบาล ซื้อทุกอย่าง ประชาชนถูกกวาดต้อนเข้าสู่ระบบทุน คนดีไม่ได้รับการยกย่อง คนมีเงินร่ำรวยได้รับการเชิดชูบูชา ภาพข้าราชการที่วิ่งขอตำแหน่งกับทักษิณเป็นที่ชินตา เจิมหัวกลับมาได้ตำแหน่ง เงินคือความชนะ ความเป็นนิติรัฐจบลงแน่หากไม่สู้ ถัดต่อไปจากนี้ประเทศไทยไม่ต่างจากเขมร
“ในสภาไพร่ไม่ค่อยจะเห็นแล้ว เห็นแต่พวกขี้ข้าทักษิณหากยอมกับระบอบนี้อีกต่อไปลูกหลานในอนาคตต้องเป็นขี้ข้าของมันแน่ กฎหมายฉบับนี้ทำลายระบบกฎหมายของประเทศไทย การเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งนี้ บทสรุปอย่างไรไม่มีใครมองออก แต่สังคมจะต้องดีขึ้นและไม่ใช่ชนะเพื่อประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องประชาธิปัตย์ แต่เรื่องใหญ่คือเราต้องรักษาสังคมนี้ให้รอด สู้กับระบบเผด็จการทหาร เมื่ออดีตง่ายกว่าเพราะตรงไปตรงมา แต่สู้กับระบอบทักษิณมีทั้งล่อ ลวง หลอกซื้อ จึงต้องพัฒนาการต่อสู้กับระบอบทักษิณ การต่อสู้ครั้งนี้กรรมการบริหารพรรคจะไม่ออกมาเพื่อไม่ให้พรรคเสียหาย แต่ที่จะออกมานั้นได้ลาออกมาแล้วและพร้อมจะสู้อย่างเต็มที่” นายวิทยากล่าว