ศูนย์ข่าวภูเก็ต - แท็กซี่ป้ายดำภูเก็ตไม่เกรงกลัวกฎหมาย แม้ดีเอสไอประกาศลงพื้นที่ล้างมาเฟีย ยังเหิมไม่เลิก ล่าสุด สร้างวีรกรรมกักขังหน่วงเหนี่ยวนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย และคนไทยไม่ให้รถที่มารับออกจากโรงแรมถ้าไม่ใช้บริการป้ายดำหน้าโรงแรม ดีเอสไอลงพื้นที่สอบสวน พบมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคุมคิว ขณะที่ทางจังหวัดเต้นต้องเอาตัวมาลงโทษให้ถึงที่สุด หวังเชือดไก่ให้ลิงดู
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (1 ต.ค.) นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยว (ศปอท.) จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการดำเนินการของศูนย์ ศปอท.จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายธีรยุทธ์ ประเสริฐผล ผอ.สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.วิทูรย์ กองสุดใจ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นางเยาวภา พิบูลย์ผล จัดหางานจังหวัดภูเก็ต นายนิมิต ฆังคะจิตร หัวหน้าสำนักงานพัฒนาธุรกิจและการค้าภูเก็ต นายประเทือง ศรขำ ผอ.ท่าอากาศยานภูเก็ต นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธ์ ผอ.สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขา ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมจังหวัดภูเก็ต
นายจำเริญ กล่าวถึงการแก้ปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำที่ทุกฝ่ายกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ว่า หลังจากนี้การจัดตั้งคิวรถแท็กซี่ป้ายดำตามหน้าโรงแรม และจุดต่างๆ นั้น จะดำเนินการตามความต้องการของผู้ประกอบการแท็กซี่ป้ายดำไม่ได้อีกแล้ว ทางจังหวัดภูเก็ต จะออกเป็นประกาศจังหวัด โดยใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง และความสงบของจังหวัดเข้ามาดำเนินการ โดยการจัดตั้งคิวแท็กซี่ป้ายดำนั้น จะต้องผ่านการเห็นชอบของทางอำเภอ ท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งจะต้องมีการประเมินก่อนว่าคิวนั้นได้ผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งจะเร่งดำเนินการในเร็วๆ นี้
ส่วนการดำเนินการกับรถตุ๊กตุ๊กผิดกฎหมายที่ป่าตองนั้น ได้สั่งการให้ทางขนส่งจังหวัดประสานกับทางป้องกันจังหวัดภูเก็ต จัดกำลังออกตรวจจนกว่าตุ๊กตุ๊กป้ายดำจะหมดไปจากหาดป่าตอง ซึ่งจากข้อมูลของขนส่งมีประมาณ 60 คัน
ด้านนายธีรยุทธ์ ประเสริฐผล ผอ.สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่ทางขนส่ง และดีเอสไอได้ออกตรวจจับแท็กซี่ป้ายดำทั่วทั้งเกาะภูเก็ต ปรากฏว่า ขณะนี้แท็กซี่ป้ายดำได้มาจดทะเบียนเป็นป้ายเขียวเพิ่มขึ้น 118 คันแล้ว และกำลังดำเนินการในเรื่องไฟแนนซ์อีกประมาณ 200 คัน โดยได้มีการประสานขอกำลังเสริมจากส่วนกลาง และตำรวจภูธรภาค 8 มาดำเนินการเรื่องนี้แล้ว คาดว่าไม่เกิน 3 เดือนจากนี้ รถแท็กซี่ป้ายดำจะเข้าสู่ระบบประมาณ 70-80%
นายนิมิต ฆังคะจิตร หัวหน้าสำนักงานพัฒนาธุรกิจและการค้าภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลที่มีคนต่างด้าวถือหุ้นพบมีข้อสงสัย 31 บริษัท ที่ไม่สามารถติดต่อได้ โดย 21 บริษัท ได้ปิดกิจการไปแล้ว และได้เช่าที่ในการเปิดดำเนินการ ส่วนอีก 10 แห่งนั้นยังมีที่อยู่ แต่ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้ส่งให้ทางดีเอสไอเพื่อดำเนินการตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
ขณะที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการ สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพลในกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำและนอมินีต่างชาติ ว่า ที่ผ่านมา ทางดีเอสไอได้ร่วมกับทางขนส่งจังหวัดในการตั้งด่านจับกุมรถแท็กซี่ป้ายดำที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารไปแล้วระยะหนึ่ง และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการขนส่ง ขอให้ส่งกำลังเข้ามาปฏิบัติงานร่วมกันในช่วงเดือน ต.ค.นี้ ส่วนการดำเนินการต่อคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำนั้น กำลังอยู่ระหว่างการออกหมายเรียกให้คนเหล่านี้มาให้ปากคำต่อทางเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ ศปอท.หลังสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เพื่อหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังของกลุ่มแท็กซี่เหล่านี้ ซึ่งการดำเนินการจะทำเช่นเดียวกับคิวแท็กซี่ที่ห้างเซ็นทรัลที่มีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว ขณะที่การดำเนินการในส่วนของนอมินีในส่วนของบริษัทต่างๆ ที่มีคนเข้าไปถือหุ้นแทนชาวต่างชาตินั้น ตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นต้นไป จะเริ่มดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง และขณะนี้มีข้อมูลอยู่มากพอสมควรแล้ว จะทำให้เห็นเป็นกรณีศึกษา
พ.ต.ท.สมบูรณ์ ยังได้กล่าวถึงปัญหากลุ่มแท็กซี่ป้ายดำตามหน้าโรงแรมต่างๆ ซึ่งมีพฤติกรรมข่มขู่ไม่ให้รถเข้าไปรับนักท่องเที่ยว ว่า ขณะนี้ยังมีการร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่องและมีถึง 2 รายที่ร้องไปยังดีเอสไอขอให้ตรวจสอบ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ประกอบด้วย รายของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย ซึ่งเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่กมลา โดยซื้อแพกเกจทัวร์รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยรถรับจ้างแท็กซี่ไปยังสถานที่ต่างๆ แต่ปรากฏว่า รถแท็กซี่ที่เรียกใช้บริการไม่สามารถเข้าไปรับที่โรงแรมได้ เนื่องจากกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน ทำการปิดกั้นทางเข้า และข่มขู่จะทำร้ายร่างกายหากฝ่าฝืนจะเข้าไปรับแขกที่โรงแรม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวไม่พอใจเป็นอย่างมาก และได้มีการร้องเรียนไปยังดีเอสไอเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้
ซึ่งหลังจากได้รับการร้องเรียน ทางเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที ซึ่งจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบแล้วว่า กลุ่มแท็กซี่ดังกล่าวมีใครเป็นคนคุมคิว และมีพฤติกรรมในการข่มขู่ ปิดกั้นไม่ให้แท็กซี่นอกพื้นที่เข้าไปรับแขกในโรงแรมจริง รวมทั้งห้ามไม่พนักงานเรียกรถจากข้างนอกมารับแขกโดยเด็ดขาด
ส่วนอีกกรณีเป็นกรณีคนไทย ซึ่งได้มีการแจ้งความไว้แล้วที่สถานีตำรวจภูธรฉลอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้ร้องขอให้เพื่อนซึ่งขับลิมูซีนให้ไปรับน้องสาวกับสามีชาวต่างชาติที่โรงแรมในพื้นที่ ต.ราไวย์ เพื่อออกไปรับประทานอาหาร แต่เมื่อนำรถเข้าไปในบริเวณโรงแรมแล้วไม่สามารถกลับออกมาได้ เนื่องจากถูกชายฉกรรจ์ใช้เหล็กปิดทางเข้าออกไม่ให้รถลิมูซีนนำนักท่องเที่ยวออกจากโรงแรม รวมทั้งข่มขู่บังคับให้ใช้รถแท็กซี่หน้าโรงแรมนั้น ถ้าไม่ใช้จะไม่ให้ออกจากโรงแรม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางพนักงานโรงแรม รวมทั้งผู้เสียหายพยายามเจรจาแต่ก็ไม่สำเร็จ ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการเจรจาหลายครั้ง โดยใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง จึงสามารถออกจากโรงแรมได้ ซึ่งรายนี้ได้มีการถ่ายคลิปวิดีโอไว้ด้วยซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการเข้าไปดำเนินการตรวจสอบ และดำเนินการต่อบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวต่อไป
จากกรณีที่เกิดขึ้น นายจำเริญ ได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับคนขับแท็กซี่ป้ายดำดังกล่าวให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้แท็กซี่ป้ายดำรายอื่นทำในลักษณะดังกล่าวอีก