xs
xsm
sm
md
lg

จากโรงไฟฟ้าถ่านหินทวายถึงเขื่อนแม่วงก์ : รัฐบาลใดเผด็จการมากกว่ากัน?/ประสาท มีแต้ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
ในความรู้สึกของผม ปัจจุบันนี้การปกครองของประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือเมียนมาร์นั้นน่าจะมีความเป็นเผด็จการอยู่มาก และน่าจะมากกว่าประเทศไทย เพราะพม่ามีรัฐบาลทหารมายาวนานร่วม 50 ปี ประเทศเต็มไปด้วยสงครามยืดเยื้อระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ จนกระทั่งเพิ่งมีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2553 นี่เอง ในขณะที่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ประเทศไทยเราได้มีการสลับกันไปมาระหว่างรัฐบาลทหาร กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลพลเรือนก็ยาวนานกว่า และเป็นเผด็จการน้อยกว่า

นั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยไม่ได้ตัดสินกันที่ว่ามีการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณารวมถึงกระบวนการเรียนรู้ และการเคลื่อนไหวทางสังคมของภาคประชาชนด้วย

การเรียนรู้ของประชาชนไม่ใช่เพียงแต่แค่เข้าร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง การหย่อนบัตร 4 ปีครั้งเท่านั้น แต่ต้องร่วมกันเรียนรู้ และรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพื่อพิทักษ์สิทธิของประชาชน และสิทธิชุมชนด้วย

ตามตัวหนังสือนั้น “สิทธิ” หมายถึง “อำนาจอันชอบธรรม” ดังนั้น “สิทธิชุมชน” จึงหมายถึง “อำนาจอันชอบธรรมของชุมชน” ในการร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการใช้ประโยชน์ ตลอดจนวิถีชีวิตของชุมชนว่าสามารถพึ่งตนเองได้มากน้อยแค่ไหนด้วย

อะไรที่เป็นสิทธิของชุมชนต้องถือว่า “เป็นหน้าที่ของรัฐบาล” ในการตอบสนองตามความต้องการของชุมชน แต่สิ่งที่รัฐบาลไทยตอบสนองก็คือ การสร้างวาทกรรมเรื่อง “สิทธิและหน้าที่” ให้ประชาชนสับสนว่า “คนพวกนี้ชอบเรียกร้องแต่เรื่องสิทธิ แต่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตนเอง” วาทกรรมดังกล่าวเป็นการบั่นทอน และทำลายพลังของกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

น่าเสียดายนะครับ ผมเองก็ถูกสอนให้สับสนมาตั้งแต่การศึกษาชั้นประถมในวิชา “หน้าที่พลเมือง”

เอาล่ะครับ หลังจากได้เกริ่นในเชิงหลักการมาพอสมควรแล้ว เรามาดูรายละเอียดตามที่ได้จั่วหัวกันครับ

สิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบกันก็คือ กระบวนการประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยการพิทักษ์สิทธิชุมชนและการตอบสนองของรัฐบาลระหว่างรัฐบาลพม่ากับรัฐบาลไทย โดยใช้กรณีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทวาย กับการสร้างเขื่อนแม่วงก์เป็นตัวอย่าง

ประเด็นชัดเจนนะครับ

ในส่วนของภาคประชาชน ผมยังไม่อาจจะบอกได้ว่ากระบวนการพิทักษ์สิทธิชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการเคลื่อนไหวทางสังคมของทั้ง 2 ประเทศ ว่าที่ใดมีความเข้มแข็งมากกว่ากัน

แต่ที่เหมือนกันก็คือ ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศไม่ได้วางเฉย ได้มีการสะสมบทเรียนกันมาพอสมควร ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การลุกขึ้นสู้ประชาชนพม่าในปี 2531 (8/8/88) ตลอดจนการเสียสละชีวิตของ คุณสืบ นาคะเสถียร (2533) เพื่อปกป้องผืนป่าจนกลายมาเป็นสายธารแห่งความคิดของผู้รักสิ่งแวดล้อม และของ คุณศศิน เฉลิมลาภ ที่เป็นที่มาของการคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ในครั้งนี้

ในด้านการตอบสนองต่อการเรียกร้อง และรักษาสิทธิชุมชนซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่รัฐบาลไทยในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าผิดหวัง และน่าอายเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับรัฐบาลพม่า

นอกจากจะไม่ตอบสนองแล้ว ยังปล่อยให้คนระดับรองนายกรัฐมนตรีออกมาท้าทายประชาชนด้วยคำพูดประเภท “หมาตัวไหน” ตลอดจนการไม่ยอมให้รายการโทรทัศน์ “คนค้นฅน” ที่บอกเล่าถึงความคิดของคนต้นเรื่องนี้ออกอากาศทางโทรทัศน์ ในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย ผมขอจบไว้เพียงแค่นี้นะครับ

ผมเชื่อและมั่นใจว่า กระบวนการประชาธิปไตยของคนไทยคงไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ คงจะไปถึง “หยุดไม่ได้ เอาไม่อยู่” ดังแผ่นโปสเตอร์แผ่นที่ 3 ที่ผมแนบมานี้

ผมขอมาที่การตอบสนองหรือ “การทำหน้าที่” ของรัฐบาลพม่าในกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินในทวายนะครับ

โปสเตอร์แผ่นแรก และข่าวนี้ผมได้มาจากเว็บไซต์ http://karennews.org/2012/01/government-cancels-dawei-coal-fired-power-plant.html ซึ่งโพสต์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 ครับ

ข่าวดังกล่าวได้อ้างถึงกลุ่มสิ่งแวดล้อมสากลที่มีชื่อเสียงคือ “Earth Rights International” ว่า “รัฐบาลพม่าได้ยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาทวายในภาคใต้ของพม่า” ผู้อำนวยการ Earth Rights กล่าวว่า “เรายินดีกับการตัดสินใจยกเลิกโรงไฟฟ้าดังกล่าว และยินดีกับการรับฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ เรายังปรารถนาให้รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในโครงการพัฒนาอื่นๆ ด้วย มันเป็นการตัดสินใจที่ดีเพื่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ”

ข่าวดังกล่าวยังบอกอีกว่า รัฐมนตรีไฟฟ้า, Khin Maung Soe ได้ประกาศผ่านสื่อว่า “รัฐบาลได้รับฟังสื่อ และศึกษารายงานผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหิน หลังจากอ่านรายงานแล้ว รัฐบาลลงความเห็นว่า ไม่เป็นการสมควรที่จะมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน รัฐบาลจึงตัดสินใจประกาศยกเลิกโครงการนี้”

ข่าวชิ้นนี้ยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลตัดสินใจหลังจากที่ชาวพื้นเมือง Tavoyan และชาวกะเหรี่ยงได้ส่งเสียงคัดค้านโครงการที่พวกเขาเรียกว่า“อุตสาหกรรมสกปรก” ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวพื้นเมืองดังกล่าวได้รณรงค์คัดค้านต่อรัฐมนตรีของประเทศไทยหลายคนที่ไปเยือนทวาย ได้แก่ รัฐมนตรีต่างประเทศ พลังงาน คมนาคม อุตสาหกรรม และการคลัง”

เป็นไงมั่งครับ พอจะเห็นความแตกต่าง และเกิดกำลังใจขึ้นมาบ้างนะครับ

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ Earth Rights คนเดิมนี้ (ชื่อ Naing Htoo)ได้ตั้งข้อสังเกต ในตอนท้ายไว้อย่างน่าสนใจมากๆ ว่า

“รัฐบาลพม่าเคยยกเลิกโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำของจีนในแม่น้ำอิรวดีด้วยการให้บริษัทของจีนได้สัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติไป ขณะนี้เป็นการเร็วเกินไปที่จะบอกว่าบริษัทในประเทศไทยจะได้อะไรไปหลังจากนี้ การร่วมมือกันครั้งใหม่อาจจะใหญ่กว่าเดิม และมีผลกระทบมากกว่า”

เขียนมาถึงตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงบทกลอนของสุนทรภู่ ที่โยคีได้สอนสุดสาคร (ผมฟังเขามาว่า นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้ประเมินว่า สุดสาครเป็นผู้มีไอคิวสูงมากคือ เท่ากับ 180) ตอนหนึ่งความว่า

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

ผมว่าคำสอนนี้ยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบันนี้ คือ อย่าวางใจนักปกครองที่ร่วมมือกับทุนสามานย์ซึ่งเป็นทุนที่แสวงหากำไรโดยไม่สนใจความถูกต้อง ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่สนใจชีวิตของคนเล็กคนน้อย

กล่าวเฉพาะเรื่องไฟฟ้า ทั้งๆ ที่เรามีแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงแดด ชีวมวลมากมาย มากกว่าประเทศแถบยุโรป และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้จริงๆ แต่พวกทุนสามานย์ก็สร้างวาทกรรมผ่านสื่อที่พวกเขาซื้อไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จว่า “เป็นพลังงานที่ไม่มั่นคงมีต้นทุนสูง” เป็นต้น จากนั้นก็นำเสนอโรงไฟฟ้าถ่านหินที่พวกเขาไปซื้อเหมืองถ่านหินในต่างประเทศไว้

เรื่องมันก็เท่านี้แหละครับ มีแต่การเรียนรู้ และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของภาคประชาชนเท่านั้นแหละที่จะสู้รบกับพวกทุนสามานย์ได้
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น