ตรัง - 2 คนร้ายอุกอาจบุกเข้าชิงทรัพย์เข้าเจ้าของร้าน “ขนิษฐา” ร้านขายขนมหวานชื่อดังของเมืองตรัง ก่อนที่จะทุบตี และใช้มีดสปาต้าฟันมือจนเลือกโชกทั้งร่าง พร้อมฉกเอาทรัพย์สินหลบหนีไป เผยถูกชิงทรัพย์มา 4 ครั้งแล้ว และครั้งล่าสุด เพิ่งเกิดห่างกันเพียงแค่ 3 วัน
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (7 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง ได้เดินทางไปยังห้องพิเศษ 3510 ตึก 298 โรงพยาบาลศูนย์ตรัง เพื่อเยี่ยมอาการของ น.ส.ขนิษฐา ฝันนิมิตร อายุ 51 ปี เจ้าของร้านขนิษฐา ซึ่งเป็นร้านขนมหวานชื่อดังของเมืองตรัง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าแม่ขนมหวาน เนื่องจากเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาทำอาหารประจำหลายหน่วยงาน เช่น เรือนจำจังหวัดตรัง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดตรัง สถาบันราชภัฏภูเก็ต ศูนย์ตรัง วิทยาลัยสารพัดช่างตรัง เป็นต้น จนมีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือเป็นจำนวนมากมาย แต่ล่าสุด น.ส.ขนิษฐา หรืออาจารย์ขนิษฐา ได้ถูกคนร้ายเข้าไปชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส
โดย น.ส.ขนิษฐา เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ของคืนวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกลับมาจากทำธุระนอกบ้าน และขับรถยนต์มาจอดในโรงจอดรถข้างบ้านซึ่งอาศัยอยู่หลังวัดนิคมประทีป (วัดโคกหล่อ) ในเขตเทศบาลตำบลโคกหล่อ อ.เมือง จ.ตรัง เพียงลำพังนั้น ปรากฏว่า ขณะที่กำลังเปิดประตูรถออกมา ได้มีคนร้าย 2 คน บุกเข้าประชิดตัว พร้อมอาวุธมีดสปาต้า และพยายามบังคับให้อยู่ในความสงบ แต่ตนกลับร้องตะโกนเรียกให้คนช่วย จึงถูกอาวุธมีดบาดเข้าที่มือซ้ายจนเลือดไหลอาบ แต่คนร้ายก็ยังไม่ยอมหยุด และพยายามลากตนเข้าไปในบ้านจนเกิดการต่อสู้กันอย่างอย่างรุนแรง ทำให้ฟันหน้าของตนหักไปถึง 2 ซี่ ใบหน้า และตาบวมช้ำ
อย่างไรก็ตาม คนร้ายก็สามารถบุกเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ ก่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะ ซึ่งภายในมีทรัพย์สินเป็นเงินสด ประมาณ 15,000 บาท โดยบางส่วนเป็นแบงก์ย่อยใบละ 20 บาท และเศษสตางค์ที่ตนเตรียมไว้ทอนให้ลูกค้า นอกจากนั้น ยังมีโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และอาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก ซึ่งเป็นของน้องชายที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ราชภัณฑ์ ได้ให้มาไว้พกพาเพื่อป้องกันตัว โดยคนร้ายทั้ง 2 คน วิ่งหลบหนีหายไปทางหลังเมรุของวัดนิคมประทีป ส่วนตนได้พยายามขับรถยนต์ไปยังบ้านน้องสาว ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพโชกเลือด ก่อนที่จะมีคนช่วยกันนำตัวส่งมารักษาที่โรงพยาบาลในที่สุด
น.ส.ขนิษฐา หรืออาจารย์ขนิษฐา เล่าอีกว่า ตนเคยถูกคนร้ายชิงทรัพย์มาแล้วรวม 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 แต่คนร้ายไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไป ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ซึ่งคนร้ายได้ทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 1 แสนบาท ทั้งสร้อยคอทองคำหนักเกือบ 10 บาท และเงินสดอีก 7 พันบาท แต่ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ 1 คน ล่าสุด ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 16 ปี 6 เดือน
ส่วนครั้งที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา คนร้ายบุกเดี่ยวเข้ามาพร้อมอาวุธมีดสปาต้า แต่กลับถูกตนทุบด้วยไม้อย่างแรง และกระชากหน้ากากจนหลุดออกมาเห็นใบหน้า ขณะที่พยายามเข้ามากระชากสร้อยคอทองคำ
“แต่ครั้งล่าสุดนี้ เหตุเกิดห่างจากครั้งที่ 3 เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น และคนร้ายเพิ่มมาเป็น 2 คน ซึ่งคาดว่าจะเป็นพี่น้องกัน แถมยังก่อเหตุรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ตนพยายามป้องกัน และระวังตัวเองมาโดยตลอด จึงอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยจัดการคนร้ายเหล่านี้ด้วย เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้บ้านเมืองเริ่มมีความไม่ปลอดภัยมากขึ้น จนมีเหตุลักวิ่งชิงปล้นในเขตเทศบาลตำบลโคกหล่ออยู่บ่อยครั้ง และส่วนใหญ่ผู้เสียหายไม่อยากไปแจ้งความ ขณะที่คนร้ายก็มาก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งนี้ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ประสานนำภาพผู้ต้องสงสัยมาให้ดูแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตนเองไม่โทษใคร และไม่กลัวหากจะเจอเหตุร้ายอีกเป็นครั้งที่ 5” เจ้าของร้านขนมเค้กชื่อดังกล่าว
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (7 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง ได้เดินทางไปยังห้องพิเศษ 3510 ตึก 298 โรงพยาบาลศูนย์ตรัง เพื่อเยี่ยมอาการของ น.ส.ขนิษฐา ฝันนิมิตร อายุ 51 ปี เจ้าของร้านขนิษฐา ซึ่งเป็นร้านขนมหวานชื่อดังของเมืองตรัง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าแม่ขนมหวาน เนื่องจากเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาทำอาหารประจำหลายหน่วยงาน เช่น เรือนจำจังหวัดตรัง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดตรัง สถาบันราชภัฏภูเก็ต ศูนย์ตรัง วิทยาลัยสารพัดช่างตรัง เป็นต้น จนมีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือเป็นจำนวนมากมาย แต่ล่าสุด น.ส.ขนิษฐา หรืออาจารย์ขนิษฐา ได้ถูกคนร้ายเข้าไปชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส
โดย น.ส.ขนิษฐา เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ของคืนวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกลับมาจากทำธุระนอกบ้าน และขับรถยนต์มาจอดในโรงจอดรถข้างบ้านซึ่งอาศัยอยู่หลังวัดนิคมประทีป (วัดโคกหล่อ) ในเขตเทศบาลตำบลโคกหล่อ อ.เมือง จ.ตรัง เพียงลำพังนั้น ปรากฏว่า ขณะที่กำลังเปิดประตูรถออกมา ได้มีคนร้าย 2 คน บุกเข้าประชิดตัว พร้อมอาวุธมีดสปาต้า และพยายามบังคับให้อยู่ในความสงบ แต่ตนกลับร้องตะโกนเรียกให้คนช่วย จึงถูกอาวุธมีดบาดเข้าที่มือซ้ายจนเลือดไหลอาบ แต่คนร้ายก็ยังไม่ยอมหยุด และพยายามลากตนเข้าไปในบ้านจนเกิดการต่อสู้กันอย่างอย่างรุนแรง ทำให้ฟันหน้าของตนหักไปถึง 2 ซี่ ใบหน้า และตาบวมช้ำ
อย่างไรก็ตาม คนร้ายก็สามารถบุกเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ ก่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะ ซึ่งภายในมีทรัพย์สินเป็นเงินสด ประมาณ 15,000 บาท โดยบางส่วนเป็นแบงก์ย่อยใบละ 20 บาท และเศษสตางค์ที่ตนเตรียมไว้ทอนให้ลูกค้า นอกจากนั้น ยังมีโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และอาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก ซึ่งเป็นของน้องชายที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ราชภัณฑ์ ได้ให้มาไว้พกพาเพื่อป้องกันตัว โดยคนร้ายทั้ง 2 คน วิ่งหลบหนีหายไปทางหลังเมรุของวัดนิคมประทีป ส่วนตนได้พยายามขับรถยนต์ไปยังบ้านน้องสาว ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพโชกเลือด ก่อนที่จะมีคนช่วยกันนำตัวส่งมารักษาที่โรงพยาบาลในที่สุด
น.ส.ขนิษฐา หรืออาจารย์ขนิษฐา เล่าอีกว่า ตนเคยถูกคนร้ายชิงทรัพย์มาแล้วรวม 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 แต่คนร้ายไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไป ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ซึ่งคนร้ายได้ทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 1 แสนบาท ทั้งสร้อยคอทองคำหนักเกือบ 10 บาท และเงินสดอีก 7 พันบาท แต่ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ 1 คน ล่าสุด ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 16 ปี 6 เดือน
ส่วนครั้งที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา คนร้ายบุกเดี่ยวเข้ามาพร้อมอาวุธมีดสปาต้า แต่กลับถูกตนทุบด้วยไม้อย่างแรง และกระชากหน้ากากจนหลุดออกมาเห็นใบหน้า ขณะที่พยายามเข้ามากระชากสร้อยคอทองคำ
“แต่ครั้งล่าสุดนี้ เหตุเกิดห่างจากครั้งที่ 3 เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น และคนร้ายเพิ่มมาเป็น 2 คน ซึ่งคาดว่าจะเป็นพี่น้องกัน แถมยังก่อเหตุรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ตนพยายามป้องกัน และระวังตัวเองมาโดยตลอด จึงอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยจัดการคนร้ายเหล่านี้ด้วย เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้บ้านเมืองเริ่มมีความไม่ปลอดภัยมากขึ้น จนมีเหตุลักวิ่งชิงปล้นในเขตเทศบาลตำบลโคกหล่ออยู่บ่อยครั้ง และส่วนใหญ่ผู้เสียหายไม่อยากไปแจ้งความ ขณะที่คนร้ายก็มาก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งนี้ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ประสานนำภาพผู้ต้องสงสัยมาให้ดูแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตนเองไม่โทษใคร และไม่กลัวหากจะเจอเหตุร้ายอีกเป็นครั้งที่ 5” เจ้าของร้านขนมเค้กชื่อดังกล่าว
