โดย...สุไลมาน ปัตตานี
นับเป็นการก่อเหตุอันรุนแรงที่อยู่นอกเหนือความคาดฝัน เมื่อคนร้ายกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธปืนสังหาร “นายยะโก๊บ หร่ายมณี” อิหม่ามมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2556 ซึ่งเป็นห้วงแห่งการถือศีลอด และอยู่ในห้วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอนประจำปีนี้ นำมาซึ่งความรู้สึกเศร้าสลดให้แก่คนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ส่วนราชการทั้งหลาย เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นบุคคลอันเป็นที่เคารพรัก และนับถือของคนทั่วไปในพื้นที่ และนับเป็นการสูญเสียบุคคลที่ทรงคุณค่า และสำคัญคนหนึ่งของประเทศ
นายยะโก๊บ หร่ายมณี อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52/8 หมู่ 3 ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ได้รับการคัดเลือก และแต่งตั้งเป็นอิหม่ามมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีคนปัจจุบัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อิหม่ามยะโก๊บ นอกจากจะทำหน้าที่อิหม่ามประจำมัสยิดแล้ว ยังได้ทำหน้าที่สอนศาสนาให้ความรู้แก่ชาวมุสลิมทั่วไป อีกทั้งยังเป็นผู้นำครอบครัวที่เป็นแบบอย่าง
นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นบุคคลที่อุทิศตนช่วยเหลือสังคม และให้ความร่วมมือกับส่วนราชการหลายด้าน ซึ่งเห็นได้จากการได้รับประกาศเกียรติคุณ และรางวัลอันมากมาย เช่น โล่รางวัลผู้ทำ คุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรมด้านศาสนาระดับประเทศ รางวัลพระราชทานผู้ทำคุณประโยชน์ต่อศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายใต้ รางวัลพระราชทานผู้ดำเนินรายการวิทยุดีเด่นของสมาคมนักวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย รางวัลพระราชทานโครงการคัดเลือกผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สาขาการพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
และที่สำคัญ คือ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนประเทศไทยในการสร้างความเข้าใจสถานการณ์ความไม่สงบแก่คณะขององค์กรมุสลิมต่างๆ ของโลก
ส่วนตำแหน่งอันสำคัญในปัจจุบันคือ อิหม่ามมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นมัสยิดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะในห้วงรอมฎอนปีนี้ มัสยิดแห่งนี้ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลกในด้านการเป็นสถานที่ที่มีมุสลิมมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจเป็นจำนวนมากแห่งหนึ่งของโลก แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงจากเหตุความไม่สงบก็ตาม
อิหม่ามยะโก๊บ เป็นผู้นำศาสนาที่ยึดมั่นในหลักการอันถูกต้อง ซึ่งไม่เห็นด้วย และต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงอย่างเปิดเผย และกล้าหาญตลอดมา ก่อนหน้านี้ ก็มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงขณะที่ท่านขับรถยนต์พร้อมลูกสาวกลับจากมัสยิด ทำให้ได้รับบาดเจ็บมาแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2554 แต่ท่านอิหม่าม ยังคงยืนหยัดในการทำหน้าที่อย่างไม่หวั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงรอมฎอนปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มก่อเหตุพยายามบิดเบือนหลักการ และหลอกลวงให้ผู้หลงผิดให้ก่อเหตุโดยอ้างว่าจะได้รับผลบุญมากขึ้น
ท่านอิหม่าม ได้พยายามชี้แจงหลักการ และความจริงเพื่อหักล้างประเด็นดังกล่าวอย่างแข็งขัน จะเห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า แท้จริงแล้ว เดือนรอมฎอนนอกจากพระเจ้าตอบแทนการทำความดีเป็นทวีคูณแล้ว ผู้ทำความผิดพระเจ้าก็จะลงโทษเป็นทวีคูณเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องโดยทั่วกัน นอกจากนี้ ยังได้ย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนการละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในแต่ละวัน จนกระทั่งถูกกลุ่มก่อเหตุอาศัยจังหวะลงมือสังหารอีกครั้ง จนเสียชีวิตในช่วงเย็นระหว่างนำครอบครัวซื้อหาอาหารสำหรับบริโภค
จากการพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยาน ซึ่งคนร้ายได้ใช้เป็นอาวุธในการก่อเหตุครั้งนี้ พบว่า เป็นอาวุธปืนขนาด .38 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกันกับที่ใช้ก่อเหตุอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดปัตตานีตั้งแต่ปี 2547 จนปัจจุบันนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน ส่วนเหตุการณ์การลอบยิงครั้งแรกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนเอชเค 33 กระบอกเดียวกันกับที่ใช้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจ 23 บริเวณสะพานตะลุโบ๊ะ เสียชีวิต 1 นาย เมื่อเดือนมกราคม 2556 และล่าสุด อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวถูกนำมาก่อเหตุอีกครั้ง ด้วยการลอบยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต จำนวน 6 ศพ ในพื้นที่อำเภอเมืองปัตตานี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา
เมื่อพิจารณาร่วมกันกับการทำหน้าที่ของท่านอิหม่าม ซึ่งส่งผลเสียต่อกลุ่มก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า เหตุการณ์สังหารท่านอิหม่ามครั้งนี้ เป็นการกระทำของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้สถานการณ์ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นโดยทั่วไป และยังตกเป็นข่าวอยู่เช่นเดิม แต่นับได้ว่ารอมฎอนในจังหวัดปัตตานีมีความคึกคักมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา มีสำนักข่าวทั้งใน และต่างประเทศมารายงานข่าวการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมในพื้นที่แห่งนี้ ควบคู่กับการรายงานสถานการณ์ พร้อมการให้สัมภาษณ์ของท่านอิหม่ามเผยแพร่ไปทั่วโลกพร้อมๆ กัน และถือได้ว่ากิจการด้านศาสนาอิสลาม ซึ่งนำโดยท่านอิหม่ามยะโก๊บ ร่วมกับอิสลามิกชนในจังหวัดปัตตานี ทำให้ศาสนาอิสลามถูกเชิดชูให้สูงส่ง ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างน่ายินดี
โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีพร้อมข้าราชการมาให้กำลังใจแก่ประชาชน และร่วมพิธีละศีลอด ณ มัสยิดแห่งนี้ และหลังจากนั้น คณะอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนได้หลั่งไหลมา ณ สถานที่แห่งนี้ ทำให้ถนนทุกสาย และผู้คนที่ต้องการเห็นสันติภาพต่างมุ่งสู่ถนนสายนี้ และเพราะสิ่งนี้เองจึงทำให้เกิดความคิดไปสู่การตั้งถนนสายรอมฎอนขึ้น โดยการสนับสนุนจากส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งได้ร่วมแถลงข่าวการเปิดถนนรอมฎอนเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
“ถนนรอมฎอน” ไม่เพียงเป็นเส้นทางไปสู่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีเท่านั้น หากแต่ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยปัจจัยแห่งการปฏิบัติศาสนกิจในห้วงรอมฎอน ไปจนถึงวันฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี ทั้งเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารสำหรับละศีลอด ตลอดจนเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายอันสวยงามสำหรับฉลองวันออกบวช วางเรียงรายตลอดเส้นทางจากมัสยิดกลางถึงย่านตลาดจะบังติกอ มีการประดับประดาด้วยการทำซุ้มประตูอย่างสวยงาม ซึ่งมีประชาชนทั้งไทยพุทธ และมุสลิมร่วมจับจ่ายในห้วงนี้อย่างคับคั่ง
ท่านอิหม่ามยะโก๊บ ได้กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงข่าวเปิดถนนสายนี้ว่า ถนนรอมฎอม หมายถึง ถนนแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า ที่จะนำผู้คนไม่ว่าจะเป็นมุสลิมที่กำลังอยู่เทศกาลรอมฎอน และไทยพุทธซึ่งกำลังอยู่ในเทศกาลแห่งการเข้าพรรษา มุ่งหน้าสู่การทำความดี อีกทั้งถนนสายนี้จะสะท้อนให้คนบางกลุ่มที่กำลังเดินไปในเส้นทางตรงข้ามเห็นว่า ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าศาสนาใด ต่างต้องการที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกันคือ เส้นทางที่ดีงาม และสู่ปลายทางที่สันติสุข
ขณะเดียวกัน ถนนสายนี้เปรียบได้ดั่งทางสายตรงที่นำคุณงามความดีอันเปี่ยมล้นของอิหม่ามแห่งมัสยิดกลางปัตตานี คืนสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งยังถือเป็นวีรบุรุษคนสำคัญที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเดินรอยตามเพื่อกลับไปสู่ความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกัน
ท่านอิหม่ามยะโก๊บ หร่ายมณี...“วีรบุรุษสันติภาพชายแดนใต้”