ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “สมหมาย ปรีชาศิลป์” รอง ผวจ.ภูเก็ต เป็นประธานอบรมจัดสัมมนาเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานเกี่ยวกับสภาท้องถิ่นสำหรับประธานสภา สมาชิกสภา และเลขานุการสภาท้องถิ่น
วันนี้ (1 ส.ค.) ที่ห้องพระพิทักษ์แกรนด์บอลรูม โรงแรมเมโทรโพล อ.เมือง จ.ภูเก็ต น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรม “โครงการเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานเกี่ยวกับสภาท้องถิ่นสำหรับประธานสภา สมาชิกสภา และเลขานุการสภาท้องถิ่น” ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยมี นายสาธิต กลิ่นภักดี ท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วย ประธานสภา สมาชิกสภา และเลขานุการสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นจากท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต รวม 19 ท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีหัวหน้ากลุ่มงานในสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต และท้องถิ่นอำเภอ เข้าร่วมรวม 236 คน
นายสาธิต กลิ่นภักดี ท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การจัดฝึกอบรมโครงการเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานเกี่ยวกับสภาท้องถิ่นฯ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมทราบบทบาทหน้าที่ของประธานสภาท้องถิ่น สมาชิกสภา และเลขานุการสภาท้องถิ่นในการปฏิบัติตามภารกิจของงานกิจการสภา ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาภารกิจ และการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และของทางราชการ
ขณะที่ น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวกับผู้เข้ารับการอบรมว่า เนื่องจากการประชุมสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่น พ.ศ.2547 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 เป็นกระบวนการที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการประชุมสภาฯ โดยคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.715/2545 พิพากษาให้เพิกถอนเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่าย เนื่องจากกระบวนการพิจารณาคำแปรญัตติ และการประชุมพิจารณาร่างบัญญัติเทศบัญญัติในวาระที่สอง และวาระที่สาม ของสภาเทศบาลเป็นรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น ดังนั้น การที่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8) ให้ความเห็นชอบกับร่างเทศบัญญัติ และนายกเทศมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้ลงนามประกาศใช้เทศบัญญัติ จึงมีผลให้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฯ ของเทศบาลที่เป็นเหตุพิพาทในคดีนี้เป็นกฎที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จึงจำเป็นที่ผู้เกี่ยวข้องในส่วนขององท้องถิ่นจะต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน