xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหา “สีกากี” กับ “บ่อน” ที่สงขลา ใครจะแก้และจะแก้อย่างไร?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากอินเทอร์เน็ต
 
โดย...ไม้  เมืองขม
 
การจับบ่อนการพนันที่เปิดให้มีการเล่นกันในพื้นที่ จ.สงขลา เริ่มตั้งแต่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการย้ายนายตำรวจตั้งแต่ “ผกก.” พร้อม “รอง ผกก.” จนถึง “สวส.” และ “สวป.” หรือที่เรียกว่า 5 เสือโรงพักหาดใหญ่ ซึ่งเป็นฝีมือของตำรวจกองปราบปราม ต่อมา มีการจับบ่อนการพนันอีกแห่งที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และก็มีการย้าย 5 เสือโรงพักปาดังเบซาร์เพื่อเซ่นบ่อนดังกล่าว
 
แต่อีกไม่กี่วันต่อมา มีการจับบ่อนที่บ้านวังปริง ต.พังลา อ.สะเดา อีกแห่งหนึ่ง แต่แปลกที่การจับบ่อนครั้งนี้ตำรวจ สภ.คลองแงะ ยังอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีการย้ายเพื่อเซ่นสังเวยเหมือนการปล่อยให้ท้องที่มีบ่อนการพนันอย่างที่หาดใหญ่ และที่ปาดังเบซาร์
 
ซึ่งวงการ “สีกากี” ตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเพราะบ่อนดังกล่าวเป็นของ “ผู้การ” คนหนึ่งของ “บช.ภ.9” หรือไม่?!
 
การเปิดยุทธการการจับบ่อนเกิดขึ้นจากฝีมือของนายตำรวจ 2 นาย ระดับ “พันตำรวจเอก” ที่มีฉายาในวงการตำรวจสงขลาว่า “2 กุมารดำ-ขาว” หรือเป็นเสมือนกับ “รัก-ยม” เพื่อทำการ “ตีเมืองขึ้น” จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่ตำรวจในพื้นที่มาระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้บังคับบัญชาของ 2 กุมารดำ-ขาว ที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ เกิดอาการ “เอาไม่อยู่” กับยุทธการตีเมืองขึ้นของลูกน้องตนเอง
 
เพราะที่ผ่านมา ผลประโยชน์ หรือ “ส่วย” จากบ่อนการพนันมีการ “กินรวบ” โดยไม่ “กินแบ่ง” เกิดขึ้น แถมผู้บังคับบัญชาที่ชอบกินรวบ “นั่งทับอึ” เอาไว้มาก เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเกิด “แข็งข้อ” จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรกับลูกน้องของตัวเอง!!
 
แม้ว่าการกระทำของ 2 กุมารขาว-ดำ จะทำให้  “ผู้เฒ่า” วัยใกล้เกษียณที่ขอให้ สภ.ใหญ่ๆ ในพื้นที่เปิดบ่อนการพนันเก็บเงินเป็น “ขวัญถุง” ก่อนที่จะเกษียณก็ทำไม่ได้ เพราะพิษของการจับบ่อนหาดใหญ่ และบ่อนปาดังเบซาร์ ที่มีการเด้ง 5 เสือโรงพักจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังไม่แล้วเสร็จ
 
หลังจากเกิดยุทธการจับบ่อนเพื่อตีเมืองขึ้นของ 2 กุมารดำ-ขาวได้ไม่กี่วัน ในพื้นที่ของ จ.สงขลาก็มี “มือดี” ทำ “ใบปลิว” แจกจ่ายไปทั่วทั้ง 16 อำเภอ โดยใบปลิวขนาดกระดาษเอ 4 ดังกล่าวเขียนถึง นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อร้องเรียนถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ซึ่งใบปลิวดังกล่าวระบุว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจับบ่อนเพื่อให้มีการย้ายตำรวจที่มีบ่อนในพื้นที่ออกจากพื้นที่ และย้ายพรรคพวกที่เป็นคนของตนเองเข้ามาแทนที่ในพื้นที่ “ทำเลทอง” ที่มีบ่อนกการพนันตั้งอยู่
 
ในใบปลิวที่เขียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา มีการระบุว่า ขณะนี้มีการเปิดบ่อนในพื้นที่ จ.สงขลา 3 บ่อน ด้วยกันคือ 1.“บ่อนนายกชาย” ที่สกายปาร์คใกล้หาดใหญ่ใน เขต อ.บางกล่ำ 2.“บ่อนคุณนายฝน” ข้างวัดม่วงเขต อ.หาดใหญ่ และ 3.“บ่อนจ่าพรชัย” เขต สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่
 
มีการระบุในใบปลิวว่า ทั้ง 3 บ่อนจ่าย “ส่วย” ให้แก่เจ้าหน้าที่บ่อนละ 3 ล้านบาท แต่ในใบปลิวไม่ระบุว่า 3 ล้านบาทต่อ 1 บ่อนจ่ายให้แก่ใคร?!
 
ใบปลิวร้องเรียนผู้ว่าฯ สงขลาเรื่องบ่อนการพนันในพื้นที่
 
เมื่อดูจุดประสงค์ของใบปลิวดังกล่าว และดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อมูลของพื้นที่ที่มีบ่อนการพนัน เชื่อว่าข้อความในใบปลิวเป็นเรื่องจริง แต่จุดประสงค์ของผู้ทำใบปลิวต้องการที่จะ “ยืมมือ” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาให้เป็นผู้ดำเนินการกับบ่อนการพนันที่ถูกระบุทั้ง 3 บ่อน เพราะเป็นบ่อนที่ “ส่วย” ถูก “กินรวบ” โดยคนไม่กี่คน ในขณะที่อีกหลายคน “อดยากปากแห้ง” ทั้งที่มีบ่อนอยู่ในพื้นที่ของตนเอง
 
โดยข้อเท็จจริง เรื่องบ่อนการพนันในพื้นที่ จ.สงขลา เป็นเรื่องปกติของสังคม ซึ่งไม่ว่าที่ไหนต่างมีบ่อน มีหวย มีซ่อง มีการจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ และฝ่ายอื่นๆ แต่ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องร้องเรียน ไม่ถูกจับกุม เป็นเพราะมีการใช้ระบบ “กินแบ่ง” มีการจ่ายให้หน่วยงานทุกหน่วย ตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงระดับล่างสุด และแม้แต่ “นักข่าว” ในพื้นที่ก็ได้รับส่วนแบ่งกับเขาด้วย
 
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการจับบ่อน ถ้า “จับโชว์” ก็เป็นนโยบายของ ผบก.จว.หรือ ผบช.ในพื้นที่ ซึ่งต้องการ “แหกตา” หน่วยเหนือให้เห็นว่ามีการจับกุมปราบปรามตามนโยบายไม่ให้มีบ่อนของ สนง.ตำรวจแห่งชาติ
 
แต่ “จับจริง” โดยกองปราบ หรือจาก  ผบก.จว. หรือจาก บชภ. เป็นเพราะมีการ “ลักไก่” หรือ “เหยียบตีน” เกิดขึ้นระหว่าง “โรงพัก” กับ “ผบก.” หรือ “บชภ.” จึงต้องการมีการ “สั่งสอน” ให้เข็ดหลาบว่า “ทีหลังอย่าทำ”
 
ดังนั้น “ใบปลิว” ที่ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมของตำรวจที่เกี่ยวข้องกับยุทธการจับบ่อน และที่ตั้งของบ่อน ทั้ง 3 แห่งในพื้นที่หาดใหญ่ ทุ่งลุง และบางกล่ำ จึงเป็นการออกมา “สาวไส้” กันเองของ “ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา” ที่อยู่ในสภาพที่ “ผลประโยชน์ขัดกัน” จนทำให้แตกความสามัคคีกันอย่างรุนแรง จนกลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์ที่แย่อยู่แล้ว ให้แย่ลงอีกในสายตาของประชาชน!!
 
บ่อนการพนันจึงกลายเป็นที่มาของ “บ่อนทำลาย” ความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในจังหวัดสงขลา และการทำลายความสามัคคีขององค์กร คือ เรื่องใหญ่ที่ทำไปสู่ผลเสียของการปฏิบัติหน้าในการรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย
 
เพราะการแบ่งพรรค แบ่งพวก การจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวคือ ผลพวงที่ทำให้ตำรวจไม่ทำหน้าที่ และผลกรรมก็จะตกอยู่กับประชาชน ส่วนผลดีจะตกกับทุจริตชนที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายทั้งปวง!!
 
เชื่อว่า นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ซึ่งได้เห็นใบปลิวดังกล่าวแล้วคงจะหัวเราะอยู่ในใจ และคงจะไม่ตกเป็น “เครื่องมือ” ของตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดบ่อนทั้ง 3 บ่อน
 
ดังนั้น จึงมีคำถามว่า ใครจะเป็นผู้ที่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น คือปัญหาความแตกความสามัคคี การแบ่งพรรคแบ่งพวกของตำรวจใน จ.สงขลา ที่เกิดจากผลประโยชน์ของบ่อนการพนันที่ไม่กินแบ่งในครั้งนี้??
 
เป็นเรื่องที่ พล.ต.ต.สุวิทย์ เชิญศิริ  ผบก.ภ.จว.สงขลา ต้องตัดสินใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และหากไม่ดำเนินการ หรือดำเนินการไม่ได้ พล.ต.ท.พิสิษฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผบช.ภ.9. ต้องเร่งดำเนินการ ทั้งในเรื่องบ่อนทั้ง 3 แห่ง และในเรื่องความแตกแยกของตำรวจในพื้นที่จังหวัดสงขลาอันมาจากบ่อนการพนันที่กลายเป็น “บ่อนทำลาย” ความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างย่อยยับ?!

กำลังโหลดความคิดเห็น