ยะลา - ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา แจงกรณีสื่อสังคมออนไลน์โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ห้ามคนต่างศาสนาเข้าเที่ยวชมงานสมโภชหลักเมือง และงานกาชาดยะลา ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่มีการบังคับ
วันนี้ (26 พ.ค.) ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายเดชรัฐ สิมสิริ ผู้ว่าราชการ จ.ยะลา เปิดเผยถึงกรณีที่มีบุคคลโพสต์ข้อความลงในสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก) ในหน้าเพจ จังหวัดยะลา ห้ามไม่ให้พี่น้องมุสลิมมาเที่ยวงานสมโภชหลักเมือง และงานกาชาด จ.ยะลา ว่า ในเรื่องดังกล่าวตนขอชี้แจงว่า การจัดงานสมโภชหลักเมืองฯ เป็นงานที่ จ.ยะลา ร่วมกันจัดงานกันกับทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ ประชาชน ร้านค้า เป็นการร่วมกันจัด เป็นการจัดแบบพหุวัฒนธรรม ตามความต้องการความชอบของแต่ละกลุ่ม แต่ละวัฒนธรรม ใครชอบอะไร จะจัดอะไรก็มาร่วมกันจัด
ฝ่ายจังหวัดเป็นฝ่ายที่อำนวยการให้มีการจัดงานมาตั้งแต่ปี 2505 เพราะปี 2505 เป็นปีแรกที่มีการตั้งศาลหลักเมือง ศาลหลักเมืองนี้เป็นไม้ชัยพฤกษ์ซึ่งกรมศิลป์ ได้แกะเป็นรูปตามความเชื่อความศรัทธาของคนในสมัยนั้น ได้รับพระราชทาน และเจิมรวมทั้งประกอบพิธีที่เป็นสิริมงคล ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีการวางศาลหลักเมือง เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2505 ตั้งแต่วันที่ 25 ปีพุทธศักราช 2505 เป็นต้นมา ชาวยะลาเอง ก็เริ่มจัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรก 7 วัน 7 คืน
ต่อมา สภากาชาดไทยได้มีแนวความคิดให้ทางเหล่ากาชาดจังหวัด จัดงานกาชาด งานกาชาดจึงได้มาผนวกเป็นงานเดียวกับงานสมโภชหลักเมือง กลายเป็นงานสมโภชหลัก เมือง และงานกาชาดขึ้น และได้ขยายเวลามาเป็น 11 วัน 11 คืน จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีการเข้าใจผิดว่าศาลหลักเมือง มีการฆ่าคนแล้วนำไปฝังไว้เป็นการบูชายัญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เข้าใจว่าเกิดความคิดมาในสมัยโบราณ สมัยพราหมณ์ ซึ่งแนวความคิดนี้เลิกหายไปจากประเทศไทยนานแล้ว
“ความเป็นจริงแล้วเราอยากให้ทุกคนมาเห็นภาพความเป็นจริง ในส่วนที่ถูกบิดเบือน และถูกกล่าวร้าย ในความเป็นจริงคนละเรื่องกัน ประชาชนในพื้นที่ก็มาชื่นชมงานมาใช้บริการ ซื้อสินค้าต่างๆ ไม่มีใครไปบังคับ และการเข้ามาภายในงานก็มีการตรวจเข้ม ไม่ใช่ปล่อยให้เข้าอิสระ ให้ทุกคนเข้ามาอย่างสะดวก ประชาชนเองก็ชื่นชอบเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจเข้ม จะทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ปีนี้เราก็พยายามที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้มากที่สุด” ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลากล่าว
ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวอีกว่า ส่วนคนที่ให้ความเห็นในเชิงคัดค้านไม่เห็นด้วยที่จะให้คนต่างศาสนามาเที่ยวงานสมโภชหลักเมืองนั้น ตนคิดว่าคนคนนั้นไม่ได้มาดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในงาน ซึ่งเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ไม่ชอบก็ไม่ต้องมาเที่ยว ไม่ได้ไปบังคับแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ ก็มีใบปลิวออกไปบ้างแล้วว่าคนที่นับถือศาสนาอื่นไม่ควรเข้ามาเที่ยวงานฯ เพราะขัดหลักศาสนา ซึ่งเรื่องนี้ควรให้ผู้รู้ทางศาสนาไปตีความดีกว่า จะไปห้ามคนที่มีความชื่นชอบไม่ได้ เพราะมีคนต้องการให้จัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งการอยู่ร่วมในสังคมที่เป็นพหุวัฒนธรรมต้องรู้จักแสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง การจะเอาความคิดของตนไปตัดสิน ไปปฎิบัติ และให้คนอื่นปฎิบัติตามไม่ได้ ซึ่งไม่ถือเป็นประชาธิปไตย ทุกคนต้องตัดสินใจกันเอง
