ตรัง - เจ้าของภัตตาคารนำมุ่ย ร้านอาหารเก่าแก่คู่เมืองตรัง ยอมปิดกิจการซึ่งเปิดขายมาเกือบครึ่งศตวรรษ เผยสาเหตุเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี ลูกๆ ไม่อยากสืบสานต่อ และต้นทุนทำร้านอาหารสูง ด้านนักชิม นักเที่ยว รู้ข่าวต่างก็บ่นเสียดาย แต่ก็สุดทัดทานต่อการตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.2556 นี้เป็นต้นไป “ภัตตาคารนำมุ่ย” ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 103/1-4 บนถนนพระราม 6 ในเขตเทศบาลนครตรัง หรืออยู่ตรงข้ามกับธนาคารกสิกรไทย สาขาตรัง โดยเป็นร้านอาหารชื่อดังที่อยู่คู่เมืองตรังมาอย่างยาวนานเกือบ 50 ปี ได้ตัดสินใจปิดกิจการลงแล้ว ท่ามกลางความเสียดายของชาวตรัง นักท่องเที่ยว และนักชิม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่มักจะเดินทางมารับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ เนื่องจากมีเมนูเด็ดเกี่ยวกับอาหารจีนขนานแท้จำนวนมาก โดยเฉพาะยำเกี๊ยวปลา ปลาไหลหูดำตุ๋นยาจีน ปลาตูหนาตุ๋นน้ำแดง คะน้าผัดหมูเค็ม และหอยจ๊อ
นายประสิทธิ์ ตีระกนก อายุ 56 ปี เจ้าของภัตตาคาร เล่าว่า เดิมทีตั้งอยู่ในห้องแถว ขนาด 2 คูหา ข้างธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง โดยคุณพ่อคือ นายกิมอู๋ แซ่ลี้ เป็นผู้บุกเบิกขึ้นเมื่อปี 2510 ก่อนที่จะย้ายมาก่อสร้างตัวอาคารขนาด 2 ชั้น ในพื้นที่ 4 คูหา ณ ที่ตั้งในปัจจุบัน บนถนนพระราม 6 นับตั้งแต่เมื่อปี 2521 ซึ่งมีทั้งหมด 70 โต๊ะ โดยชั้นบนที่มี 35 โต๊ะ จะใช้รองรับงานเลี้ยงต่างๆ แต่หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว ตนก็ได้เข้ามาสานกิจการต่อ จวบจนล่าสุด สัญญาเช่าพื้นที่กับทางเทศบาลนครตรัง ซึ่งตกปีละ 3 หมื่นบาทเศษ ได้หมดลงพอดี และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับมาเจอปัญหาหลายๆ อย่างรุมเร้า ตนจึงตัดสินใจปิดกิจการ
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่ตนเองมีสุขภาพไม่ค่อยดี ส่วนลูกๆ ทั้ง 3 คนก็ไม่อยากมาทำกิจการร้านอาหารต่อ โดยลูกชายคนโต ได้ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าในตัวเมืองตรัง ส่วนลูกชายคนกลาง ไปเป็นอาจารย์คณะทันตแพทย์ ม.อ.หาดใหญ่ ขณะที่ลูกชายคนเล็ก เปิดร้านคอมพิวเตอร์อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากนั้น ยังเจอปัญหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้นมาก เช่น ค่าแรง ค่าวัตถุดิบ จนทำให้มีกำไรลดน้อยลง รวมทั้งสถานที่จอดรถหน้าร้านที่ไม่ค่อยสะดวก ทำให้ลูกค้ามาใช้บริการได้รับความลำบาก จึงคิดว่าคงถึงเวลาที่ตนเอง และภรรยาจะต้องหยุดทำงานเพื่อพักผ่อนแล้ว แม้จะมีเสียงทัดทานมาจากนักชิมจากทั่วสารทิศที่ทราบข่าวก็ตาม
สำหรับพนักงานของภัตตาคารที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 10 คนนั้น เจ้าของภัตตาคารนำมุ่ย กล่าวว่า ตนได้แจ้งให้ทุกๆ ทราบล่วงหน้า และต่างก็ไปหางานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางทางร้านให้การช่วยเหลือด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้คนละ 8-9 เดือน ตามแต่ละตำแหน่ง หรือใช้เงินรวมกันทั้งหมดประมาณเกือบๆ 4 แสนบาท ซึ่งก็เป็นจำนวนที่มากพอเพื่อให้แต่ละคนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยเฉพาะบางคนที่อยู่ช่วยงานกันมาอย่างยาวนานนับ 10 ปีแล้ว ส่วนข้าวของภายในร้านได้ขายให้แก่พนักงานไปทั้งหมด ซึ่งบางคนเอาไปเพื่อทำร้านอาหารใหม่ และบางคนเอาไปเพื่อไว้เป็นที่ระลึก
ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.2556 นี้เป็นต้นไป “ภัตตาคารนำมุ่ย” ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 103/1-4 บนถนนพระราม 6 ในเขตเทศบาลนครตรัง หรืออยู่ตรงข้ามกับธนาคารกสิกรไทย สาขาตรัง โดยเป็นร้านอาหารชื่อดังที่อยู่คู่เมืองตรังมาอย่างยาวนานเกือบ 50 ปี ได้ตัดสินใจปิดกิจการลงแล้ว ท่ามกลางความเสียดายของชาวตรัง นักท่องเที่ยว และนักชิม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่มักจะเดินทางมารับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ เนื่องจากมีเมนูเด็ดเกี่ยวกับอาหารจีนขนานแท้จำนวนมาก โดยเฉพาะยำเกี๊ยวปลา ปลาไหลหูดำตุ๋นยาจีน ปลาตูหนาตุ๋นน้ำแดง คะน้าผัดหมูเค็ม และหอยจ๊อ
นายประสิทธิ์ ตีระกนก อายุ 56 ปี เจ้าของภัตตาคาร เล่าว่า เดิมทีตั้งอยู่ในห้องแถว ขนาด 2 คูหา ข้างธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง โดยคุณพ่อคือ นายกิมอู๋ แซ่ลี้ เป็นผู้บุกเบิกขึ้นเมื่อปี 2510 ก่อนที่จะย้ายมาก่อสร้างตัวอาคารขนาด 2 ชั้น ในพื้นที่ 4 คูหา ณ ที่ตั้งในปัจจุบัน บนถนนพระราม 6 นับตั้งแต่เมื่อปี 2521 ซึ่งมีทั้งหมด 70 โต๊ะ โดยชั้นบนที่มี 35 โต๊ะ จะใช้รองรับงานเลี้ยงต่างๆ แต่หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว ตนก็ได้เข้ามาสานกิจการต่อ จวบจนล่าสุด สัญญาเช่าพื้นที่กับทางเทศบาลนครตรัง ซึ่งตกปีละ 3 หมื่นบาทเศษ ได้หมดลงพอดี และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับมาเจอปัญหาหลายๆ อย่างรุมเร้า ตนจึงตัดสินใจปิดกิจการ
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่ตนเองมีสุขภาพไม่ค่อยดี ส่วนลูกๆ ทั้ง 3 คนก็ไม่อยากมาทำกิจการร้านอาหารต่อ โดยลูกชายคนโต ได้ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าในตัวเมืองตรัง ส่วนลูกชายคนกลาง ไปเป็นอาจารย์คณะทันตแพทย์ ม.อ.หาดใหญ่ ขณะที่ลูกชายคนเล็ก เปิดร้านคอมพิวเตอร์อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากนั้น ยังเจอปัญหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้นมาก เช่น ค่าแรง ค่าวัตถุดิบ จนทำให้มีกำไรลดน้อยลง รวมทั้งสถานที่จอดรถหน้าร้านที่ไม่ค่อยสะดวก ทำให้ลูกค้ามาใช้บริการได้รับความลำบาก จึงคิดว่าคงถึงเวลาที่ตนเอง และภรรยาจะต้องหยุดทำงานเพื่อพักผ่อนแล้ว แม้จะมีเสียงทัดทานมาจากนักชิมจากทั่วสารทิศที่ทราบข่าวก็ตาม
สำหรับพนักงานของภัตตาคารที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 10 คนนั้น เจ้าของภัตตาคารนำมุ่ย กล่าวว่า ตนได้แจ้งให้ทุกๆ ทราบล่วงหน้า และต่างก็ไปหางานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางทางร้านให้การช่วยเหลือด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้คนละ 8-9 เดือน ตามแต่ละตำแหน่ง หรือใช้เงินรวมกันทั้งหมดประมาณเกือบๆ 4 แสนบาท ซึ่งก็เป็นจำนวนที่มากพอเพื่อให้แต่ละคนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยเฉพาะบางคนที่อยู่ช่วยงานกันมาอย่างยาวนานนับ 10 ปีแล้ว ส่วนข้าวของภายในร้านได้ขายให้แก่พนักงานไปทั้งหมด ซึ่งบางคนเอาไปเพื่อทำร้านอาหารใหม่ และบางคนเอาไปเพื่อไว้เป็นที่ระลึก