ยะลา - โรงเรียนยะลาเฮ! หลังกระทรวงศึกษาฯ เลิกยุบโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ ในขณะเดียวกัน ร.ร.ในสังกัดยะลา เขต 3 มีผู้ปกครอง 2 โรงเห็นด้วยกับการยุบรวม เชื่อเป็นประโยชน์แก่เด็ก นร. เนื่องจาก ร.ร.ทั้ง 2 แห่งห่างกันเพียง 3 กม.
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (15 พ.ค.) ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 อ.เมือง จ.ยะลา ดร.อาดุลย์ พรมแสง ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 เปิดเผยว่า สำหรับโรงเรียนในสังกัดยะลาเขต 1 ที่มีโอกาสที่จะถูกยุบตามหลักการของกระทรวงศึกษาธิการ คือ มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คนนั้น มีอยู่ 4 แห่ง แบ่งเป็นในพื้นที่ อ.เมืองยะลา จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านคลองทราย ต.ยุโป ซึ่งมีเด็กนักเรียน จำนวน 21 คน และโรงเรียนศรีพัฒนาราม ต.ตาเซ๊ะ มีนักเรียน 46 คน ส่วนพื้นที่ อ.รามัน จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านกาดือแป ต.กอตอตือระ มีนักเรียน 55 คน และโรงเรียนบ้านตะโล๊ะสดาร์ ต.อาซ่อง มีนักเรียน 43 คน
ซึ่งในโรงเรียนทั้ง 4 แห่งนี้ ตนได้ลงพื้นที่ไปถามผู้ปกครองของเด็กนักเรียนว่ายินยอมให้ยุบโรงเรียนหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่ยินยอม เนื่องจากผู้ปกครองของเด็กนักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีปัญหาในการเดินทางไปส่งบุตรหลาน รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ หากมีการขนย้ายเด็กนักเรียนไปเรียนอีกแห่งหนึ่ง ส่งผลให้ทั้ง 4 แห่งนี้ ชุมชน ผู้ปกครอง ไม่ยอมให้ยุบรวม
“หลังจากมีข่าวว่าทางกระทรวงศึกษาธิการได้ยกเลิกการยุบโรงเรียนขนาดเล็กแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี ทางโรงเรียนดังกล่าวก็จะต้องหารูปแบบในการพัฒนาการศึกษาให้เด็ก และเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมด้วย ซึ่งหลังจากวันนี้ไปตนเองก็จะเชิญผู้บริหารทั้ง 4 โรง มาประชุมร่วม เพื่อจัดทำแผนพัฒนาด้านการศึกษาว่าจะมียุทธศาสตร์อะไร เพื่อที่จะได้วัดผลในช่วงที่สอบโอเน็ต ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่” ดร.อาดุลย์ กล่าว
ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเกี่ยวกับมาตรการ รปภ.ครู ช่วงเปิดเทอมนั้น ก็มีความเชื่อมั่นในมาตรการดังกล่าว แต่เน้นย้ำให้ทางฝ่ายกองกำลังให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือ พื้นที่เขตรอยต่อเขต อ.เมืองยะลา กับ อ.รามัน, เขตรอยต่อ อ.รามัน กับ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และเขตรอยต่อ อ.รามัน กับ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ซึ่งได้เน้นย้ำให้กองกำลังดูและพื้นที่ดังกล่าวอย่างเข้มงวดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 2 ที่เดิมจะอยู่ในหลักเกณฑ์ต้องถูกยุบรวมนั้น คือ โรงเรียนนิคมพัฒนาตนเองภาคใต้ 3 และโรงเรียนนิคมพัฒนาตนเองภาคใต้ 13 อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ มีรายงานว่า ชุมชนในพื้นที่ก็ไม่ยินยอมให้มีการยุบโรงเรียนแต่อย่างใด
ด้านนายนรินทร์ สาโร ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 3 กล่าวว่า สำหรับพื้นที่เขต 3 นั้น มีโรงเรียนที่อยู่ในเกณฑ์เด็กนักเรียนต่ำกว่า 60 คน รวม 5 แห่ง อยู่ใน อ.เบตง จ.ยะลา ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านมาลาศีตะจิตต์ โรงเรียนบ้านจาเราะซูซู โรงเรียนบ้ายนจาเราะปะไต โรงเรียนบ้านธารน้ำทิพย์ และโรงเรียนบ้านไทยพัฒนา
โดยหลังจากมีมาตรการของกระทรวงศึกษานั้น ก็ได้ลงไปทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ปกครอง โดยเฉพาะโรงเรียนบ้านมาลาศีตะจิตต์ และโรงเรียนบ้านธารน้ำทิพย์ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 3 กม. เด็กทั้งสองแห่งนี้รวมกันประมาณ 60 คน และทางผู้ปกครองก็เห็นประโยชน์ของการยุบรวมกัน เนื่องจากว่าจะทำให้เด็กนักเรียนมีครูประจำสอนตามชั้นเรียนต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนโรงเรียนไทยพัฒนา ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 40 คน ก็จะจัดเป็นโรงเรียนที่เรียนร่วมกับโรงเรียนบ้านศรีนคร ที่มีเด็กนักเรียนประมาณ 80 คน ซึ่งโรงเรียนทั้ง 2 แห่งอยู่ใกล้กัน โดยมีแผนให้เด็กจากโรงเรียนบ้านไทยพัฒนา มาเรียนร่วมกับบ้านศรีนคร โดยแบ่งเรียนตามชั้นต่างๆ แยกกัน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (15 พ.ค.) ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 อ.เมือง จ.ยะลา ดร.อาดุลย์ พรมแสง ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 เปิดเผยว่า สำหรับโรงเรียนในสังกัดยะลาเขต 1 ที่มีโอกาสที่จะถูกยุบตามหลักการของกระทรวงศึกษาธิการ คือ มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คนนั้น มีอยู่ 4 แห่ง แบ่งเป็นในพื้นที่ อ.เมืองยะลา จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านคลองทราย ต.ยุโป ซึ่งมีเด็กนักเรียน จำนวน 21 คน และโรงเรียนศรีพัฒนาราม ต.ตาเซ๊ะ มีนักเรียน 46 คน ส่วนพื้นที่ อ.รามัน จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านกาดือแป ต.กอตอตือระ มีนักเรียน 55 คน และโรงเรียนบ้านตะโล๊ะสดาร์ ต.อาซ่อง มีนักเรียน 43 คน
ซึ่งในโรงเรียนทั้ง 4 แห่งนี้ ตนได้ลงพื้นที่ไปถามผู้ปกครองของเด็กนักเรียนว่ายินยอมให้ยุบโรงเรียนหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่ยินยอม เนื่องจากผู้ปกครองของเด็กนักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีปัญหาในการเดินทางไปส่งบุตรหลาน รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ หากมีการขนย้ายเด็กนักเรียนไปเรียนอีกแห่งหนึ่ง ส่งผลให้ทั้ง 4 แห่งนี้ ชุมชน ผู้ปกครอง ไม่ยอมให้ยุบรวม
“หลังจากมีข่าวว่าทางกระทรวงศึกษาธิการได้ยกเลิกการยุบโรงเรียนขนาดเล็กแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี ทางโรงเรียนดังกล่าวก็จะต้องหารูปแบบในการพัฒนาการศึกษาให้เด็ก และเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมด้วย ซึ่งหลังจากวันนี้ไปตนเองก็จะเชิญผู้บริหารทั้ง 4 โรง มาประชุมร่วม เพื่อจัดทำแผนพัฒนาด้านการศึกษาว่าจะมียุทธศาสตร์อะไร เพื่อที่จะได้วัดผลในช่วงที่สอบโอเน็ต ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่” ดร.อาดุลย์ กล่าว
ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเกี่ยวกับมาตรการ รปภ.ครู ช่วงเปิดเทอมนั้น ก็มีความเชื่อมั่นในมาตรการดังกล่าว แต่เน้นย้ำให้ทางฝ่ายกองกำลังให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือ พื้นที่เขตรอยต่อเขต อ.เมืองยะลา กับ อ.รามัน, เขตรอยต่อ อ.รามัน กับ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และเขตรอยต่อ อ.รามัน กับ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ซึ่งได้เน้นย้ำให้กองกำลังดูและพื้นที่ดังกล่าวอย่างเข้มงวดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 2 ที่เดิมจะอยู่ในหลักเกณฑ์ต้องถูกยุบรวมนั้น คือ โรงเรียนนิคมพัฒนาตนเองภาคใต้ 3 และโรงเรียนนิคมพัฒนาตนเองภาคใต้ 13 อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ มีรายงานว่า ชุมชนในพื้นที่ก็ไม่ยินยอมให้มีการยุบโรงเรียนแต่อย่างใด
ด้านนายนรินทร์ สาโร ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 3 กล่าวว่า สำหรับพื้นที่เขต 3 นั้น มีโรงเรียนที่อยู่ในเกณฑ์เด็กนักเรียนต่ำกว่า 60 คน รวม 5 แห่ง อยู่ใน อ.เบตง จ.ยะลา ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านมาลาศีตะจิตต์ โรงเรียนบ้านจาเราะซูซู โรงเรียนบ้ายนจาเราะปะไต โรงเรียนบ้านธารน้ำทิพย์ และโรงเรียนบ้านไทยพัฒนา
โดยหลังจากมีมาตรการของกระทรวงศึกษานั้น ก็ได้ลงไปทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ปกครอง โดยเฉพาะโรงเรียนบ้านมาลาศีตะจิตต์ และโรงเรียนบ้านธารน้ำทิพย์ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 3 กม. เด็กทั้งสองแห่งนี้รวมกันประมาณ 60 คน และทางผู้ปกครองก็เห็นประโยชน์ของการยุบรวมกัน เนื่องจากว่าจะทำให้เด็กนักเรียนมีครูประจำสอนตามชั้นเรียนต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนโรงเรียนไทยพัฒนา ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 40 คน ก็จะจัดเป็นโรงเรียนที่เรียนร่วมกับโรงเรียนบ้านศรีนคร ที่มีเด็กนักเรียนประมาณ 80 คน ซึ่งโรงเรียนทั้ง 2 แห่งอยู่ใกล้กัน โดยมีแผนให้เด็กจากโรงเรียนบ้านไทยพัฒนา มาเรียนร่วมกับบ้านศรีนคร โดยแบ่งเรียนตามชั้นต่างๆ แยกกัน
