ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “พระแจ๊ส” ขอเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อครั้งสุดท้าย เพื่อให้ทุกอย่างจบ และเข้าใจตรงกัน ย้ำไม่ใช่บวชเล่นๆ แต่ตั้งใจบวชตลอดชีวิตจริง ท้าเมื่อไหร่ที่ทำกิจของสงฆ์บกพร่องในปาติโมกข์ หรือทำผิดในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติแล้วค่อยมาว่ากัน ยันจะศึกษาพระธรรมอยู่วัดเลียบไม่หนีไปไหน พร้อมเทศนาเรื่องทางโลกที่ทุกคนว่าเป็นสิ่งดีงาม ยศถาบรรดาศักดิ์ล้วนไม่ใช่ของจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าหลังจากที่ แจ๊ส สรวีย์ นัดที อายุ 24 ปี อดีตมิสทิฟฟานี ยูนิเวิร์ส 2009 ตัดสินใจเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดเลียบ เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิด เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับฉายา พระมหาวิริโยภิกขุ หรือผู้มีความเพียรยิ่ง และประกาศจะขอครองผ้าเหลืองตลอดชีวิต ซึ่งกระแสสังคมต่างตั้งคำถาม และมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการบวชของพระแจ๊สนั้น
ล่าสุด บ่ายวันนี้ (14 พ.ค.) พระมหาวิริโยภิกขุ หรือพระแจ๊ส ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการบวช และเรื่องราวทางโลกเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ทุกอย่างจบและเข้าใจตรงกัน โดยระบุว่า สาเหตุหลักที่บวชเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เกิดมาจนอายุได้ 24 ปี แล้ว ส่วนตัวต้องการหลุดพ้น โดยก่อนบวชได้ศึกษาธรรมะมาก่อนเพื่อให้เข้าใจ และตั้งใจที่จะบวชตั้งแต่อายุ 21 ปี แต่ขณะนั้นเรื่องทางโลกมีมาก จึงไม่มีโอกาสบวช
พระแจ๊สกล่าวว่า แต่ช่วงเวลานี้มีความพร้อมแล้ว ยังไงก็ต้องบวชให้ได้ และพ่อแม่ก็อนุญาตแล้วด้วย และก่อนที่จะบวชได้เคยไปศึกษาพระธรรมด้วยการอยู่ป่ามา 1 เดือน โดยไม่ออกไปไหนเลย เพื่อศึกษาธรรมะกับวัดสายป่า รวมถึงศึกษาวินัยสงฆ์ ปาติโมกข์ ให้ละเอียดอ่อน เพราะต้องการบวชเพียงครั้งเดียวซึ่งไม่ใช่การบวชเล่นๆ
“เรื่องราวทางโลกที่เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ทุกคนสรรเสริญ เป็นเรื่องของยศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งมีสุขอย่างที่ทุกคนพูด เรื่องนั้นไม่ใช่ของจริง เมื่อบวชเราก็ปล่อยวางวันนั้นเลย”
พระมหาวิริโยภิกขุ หรือพระแจ๊ส กล่าวย้ำว่า การบวชไม่ใช่เพราะด้วยวัยที่ย่างเบญจเพส หรือบวชแก้บน บวชเพื่อสะเดาะเคราะห์ หรือหนีคดีความมาบวช หรือไม่มีงานทำแล้วมาบวช หรือไม่มีข้าวกินแล้วมาบวช ซึ่งเจตนาไม่ได้เป็นเช่นนั้น และตนไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งเหล่านั้นด้วย เพราะเป็นข้อห้ามของพระพุทธเจ้า
“บวชเพื่อต้องการมีเวลาว่างในการศึกษาธรรมะ หากยังอยู่ในทางโลก ลมหายใจ 24 ชั่วโมงก็มีแต่เรื่องทางโลก แต่พอมาได้อยู่กับธรรมะทำให้มีความสุข ตื่นเช้ามาตอนตี 3 เริ่มทำกิจภาวนา สร้างความเพียรเดินจงกลม สวดมนต์สรรเสริญพระพุทธเจ้า และออกบิณฑบาตด้วยบาตรเพียง 1 ใบบริหารท้อง จีวร 1 ผืนบริหารกาย ไม่มีอะไรมากกว่านี้” พระมหาวิริโยภิกขุ หรือพระแจ๊ส กล่าวและเสริมว่า
“แตกต่างจากทางโลก หม้อข้าวหม้อเดียวไม่เคยพอ ทานข้าวอย่างหรู เลือกเมนูอย่างดี เสื้อผ้าต้องอัปเกรดให้ใหม่ตลอด ไม่เปลี่ยนเพื่อนด่า ไปไหนไม่เหมือนเพื่อนอยู่ไม่ได้ แต่จีวรไม่ใหม่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเก่ายิ่งขลัง ยิ่งมีผืนเดียวยิ่งได้ตามที่พระพุทธบัญญัติ ไม่มีภาระ ญาติโยมที่ใส่ข้าวนิดเดียวก็ไม่เสียเปล่า เพราะพระตั้งใจปฏิบัติธรรมวินัยอย่างดี การบวชเป็นสิ่งที่เที่ยงจริงแน่นอน ทำให้หลุดพ้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าสูงสุด เราจึงเห็นคนเข้าวัด และบวชมากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ดี”
พระแจ๊สยังกล่าวถึงสิ่งที่เป็นข่าวหลังการบวชว่า จะไม่ไปจำวัดที่อื่นเพื่อหลีกหนีปัญหา จะยังอยู่ที่วัดเลียบต่อไป เพราะก่อนที่จะบวชได้ศึกษามาอย่างดีแล้วว่าไม่มีอะไรผิดที่ต้องไม่ให้บวช การกล่าววาจาในอุโบสถ กล่าวขอขมากรรมพ่อแม่ พระอุปัชฌาย์ คณะสงฆ์ และหมู่สงฆ์ที่อยู่ในอุโบสถไม่มีใครคัดค้าน เมื่อไม่มีใครคัดค้านก็บวชได้ การกล่าววาจาต่างๆ ทุกอย่างชัดเจนหมด
“ประเทศไทย วัดไทย หรือวัดอื่นทั่วโลก ไม่ว่าจะหนีไปวัดไหนก็หนีไม่พ้น เราไม่หนีใจตัวเอง อยู่กับตัวเอง และขออยู่ตรงนี้ อยู่วัดไหนพระพุทธเจ้าก็สอนเหมือนกัน วินัยบัญญัติเหมือนกัน ธรรมะก็เหมือนกัน ใช้ได้ทั่วโลก ขออยู่กับที่ที่จะศึกษาธรรมะได้ ศึกษาตัวเองได้ และเจอแล้ว ขอเอาธรรมะนำทางเดินตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่เดินตามคำข้อครหาของใคร ตอนนี้เราไม่ใช่ฆราวาสแล้ว แต่เป็นพระ ใครจะมาชี้ให้ทำอย่างอื่น สั่งได้ แต่เราไม่ทำ ใครจะมาสั่งเป็นหน้าที่ของคนนั้น” พระแจ๊สกล่าวและว่า
“แต่หน้าที่สงฆ์คือ ทำกิจของสงฆ์ให้ดีที่สุด ถ้าเมื่อไหร่ที่ตนทำกิจของสงฆ์บกพร่องในปาติโมกข์ หรือในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติแล้วค่อยมาว่า สิ่งที่ทำตอนนี้ก็มองหาตัวเอง และจิตเดิมให้เจอ มองหาความหลุดพ้น ซึ่งมีมีทางแล้ว นี่คือสิ่งที่ต้องทำ เราเชื่อคนคนเดียวคือ เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อคนอื่น”
พระมหาวิริโยภิกขุ ยังได้พูดถึงเรื่องของทางโลก โดยเฉพาะเรื่องสมัยที่ครองตำแหน่งมิสทิฟฟานี รวมถึงชีวิตในแวดวงบันเทิงต่างๆ โดยบอกว่า ตนไม่อยากพูดเรื่องทางโลก เพราะเป็นพระแล้ว ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ถึงตอนนี้แล้วไม่มีอะไร มีแต่จีวร และมีธรรมะไว้ดูตัวเอง และมีพระพุทธเจ้าเพียงนั้น อย่างอื่นไม่มีอะไร
ส่วนเรื่องการบวชไม่สึก พระแจ๊สกล่าวว่า การที่ตนพูดว่าจะบวชไม่สึก หมายถึงบวชไปเรื่อยๆ ตายตอนไหนสิ้นสุดตอนนั้น จะขออยู่ในผ้าเหลืองเพราะอบอุ่น คำว่าบวชตลอดชีวิตไม่ใช่บวชแค่ 10 ปี หรือ 70 ปี แต่พร้อมที่จะตายทุกเมื่อ อีกสองชั่วโมงตนอาจจะตายก็ได้ นั่นคือความหมายของคำว่าบวชตลอดชีวิตของตน และจะไม่คิดทรยศต่อพระศาสดาตัวเอง
พระแจ๊สย้ำอีกว่า ขอตั้งมั่นเป็นชาติสุดท้ายแล้ว แต่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่ ไม่รู้ วันนี้เราโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ยิ่งดีไปกว่านั้นคือ เกิดแล้วได้เจอพระพุทธเจ้า เกิดมาทันในพระพุทธเจ้าองค์นี้ และที่ดีที่สุดคือ ได้เจอพระพุทธเจ้าที่ตรัสรูธรรมะ ซึ่งเปรียบเสมือนมีสมบัติไว้ให้เรา และถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นอีกคือ การได้เป็นมนุษย์ที่ได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วสำหรับตน
“ทุกคนมีธรรมะเหมือนกันหมด แต่ตัวจริงอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ต้องตั้งมั่นในพระพุทธองค์ ถ้าไม่อยากพลาดตายไปเป็นอสุรกาย เดรัจฉาน โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงเลย” นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของพระแจ๊สที่ได้กล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่จะลาผู้สื่อข่าวและเดินกลับไปปฏิบัติภารกิจสงฆ์ และขออยู่อย่างสงบในการครองผ้าเหลืองไปตลอดชีวิต
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของพระแจ๊สนั้น ทั้งพ่อและแม่ได้เข้ามาร่วมรับฟังด้วย แต่ทั้ง 2 คนไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ หรือพูดคุยกับสื่อมวลชน