ศูนย์ข่าวภูเก็ต - นอภ.กะทู้ นำกำลัง อส.บุกจับรถแบ็กโฮลอบตักหน้าดินปรับพื้นที่ในเขตป่าสงวน พร้อมตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงพบมีการลอบตัดไม้หวงห้ามกฤษณา และตีนเป็ดขนาดใหญ่ จึงยึดไว้ตรวจสอบดำเนินคดี
เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (6 เม.ย.) นายวีระ เกิดศิริมงคล นายอำเภอกระทู้ พร้อมด้วย นายราเชนทร์ สงแดง นายวิสุทธิ์ โรมินทร์ นายศิริพงษ์ หลีประสิทธิ์ ปลัดอำเภอกะทู้ และเจ้าหน้าที่ อส. 6 นาย เข้าตรวจสอบพื้นที่ในชุมชนสี่กอ หมู่ที่ 6 ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ. ภูเก็ต หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการบุกรุกที่ดินโดยใช้รถแบ็กโฮเข้าตักหน้าดิน และทำถนนขึ้นไปในเขตป่าสงวนบริเวณเขาควนหว้า ซึ่งอยู่บนเทือกเขากมลา
จากการเข้าตรวจสอบจุดแรกพบเป็นทางขึ้นภูเขา พบรถแบ็กโฮกำลังตักหน้าดินจึงแสดงตัวเข้าจับกุม และควบคุมตัวคนขับรถแบ็กโฮไว้ สอบถามเบื้องต้นทราบว่า เป็นลูกจ้างรับจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งให้มาตักหน้าดินทำถนนในบริเวณดังกล่าวโดยไม่ทราบว่าอยู่ในเขตป่าหรือไม่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นด้านบนของจุดดังกล่าวใกล้เคียงกันมีถนนคอนกรีตตัดขึ้นไป พื้นที่มีสภาพสูงชันมาก คาดว่าจะอยู่ในเขตป่าสงวนเช่นกันจึงขึ้นไปตรวจสอบพบ
จากการตรวจสอบพบว่า มีการตัดโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นไม้กฤษณาขนาดประมาณ 5 คนโอบ 1 ต้น ถูกตัดออกเป็นท่อนๆ ประมาณ 4 ท่อน แต่ละท่อนมีความยาวตั้งแต่ 5 -10 เมตร นอกจากนั้น ยังพบไม้ตีนเป็ดขนาดใหญ่ประมาณ 5 คนโอบเช่นกัน ถูกตัดวางเรียงรายจำนวน 4 ท่อน จึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อเข้ามาตรวจสอบ และตีตราเพื่อยึดไว้ดำเนินคดีต่อไป
นายวีระ กล่าวว่า ในการดำเนินการจุดแรกนั้น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ อส.จะต้องควบคุมตัวคนขับรถแบ็กโฮไว้จนกว่าจะตรวจสอบได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีผู้มาแสดงเอกสารสิทธิ หากเอกสารสิทธิที่แสดงถูกต้องก็จะต้องปล่อยตัวไป หากไม่ถูกต้อง หรือไม่มีเอกสารสิทธิก็จะต้องดำเนินคดีทั้งในส่วนของคนขับ และผู้ว่าจ้าง และจะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนหรือไม่ เพื่อให้มีความชัดเจน เบื้องต้นตรวจสอบจากเอกสารของอำเภอ และวัดตำแหน่งพิกัดแล้วอยู่ในเขตป่าสงวน
ส่วนการดำเนินการจุดที่สอง คือ จุดที่มีการตัดไม้กฤษณา และไม้ตีนเป็ดนั้น จะต้องให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตีตราไม้และตรวจยึด พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะอย่างไรก็ตาม ไม้ทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นไม้สงวน หากตัดโค่นก็ถือว่ามีความผิด ส่วนเรื่องการตรวจสอบที่ดินว่าเป็นการบุกรุกหรือไม่นั้นต้องรอให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบให้ชัดเจนอีกเช่นกัน และหากผู้อ้างครอบครองมีการนำเอกสารสิทธิมาแสดงก็จะต้องตรวจสอบต่อไป
นายวีระ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับไม้กฤษณาที่พบนั้น คาดว่ามีอายุหลายสิบปี แต่เป็นไม้กฤษณาที่ยังไม่มีแกนกลาง คนลักลอบตัดจึงไม่นำออกไปเพราะไม่สามารถนำไปขายเพื่อทำหัวน้ำหอมได้ แต่คาดว่าเตรียมนำไปแปรรูปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีราคาแพง ซึ่งมูลค่าไม้ทั้ง 2 ชนิดหากมีการนำไปแปรรูปแล้วคาดว่าน่าจะมีมูลค่านับล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้รับการประสานจากนายอำเภอกะทู้ เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ นายไพศาล หนูพิชัย หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ 2 (ภูเก็ต) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เดินทางมาตรวจสอบ พบว่า ไม้ที่ตัดทั้ง 2 ประเภทนั้นเป็นไม้สงวนจริง จึงได้ทำการวัดขนาด บันทึกหลักฐาน และตีตราตรวจยึดเพื่อดำเนินคดีต่อไป
เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (6 เม.ย.) นายวีระ เกิดศิริมงคล นายอำเภอกระทู้ พร้อมด้วย นายราเชนทร์ สงแดง นายวิสุทธิ์ โรมินทร์ นายศิริพงษ์ หลีประสิทธิ์ ปลัดอำเภอกะทู้ และเจ้าหน้าที่ อส. 6 นาย เข้าตรวจสอบพื้นที่ในชุมชนสี่กอ หมู่ที่ 6 ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ. ภูเก็ต หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการบุกรุกที่ดินโดยใช้รถแบ็กโฮเข้าตักหน้าดิน และทำถนนขึ้นไปในเขตป่าสงวนบริเวณเขาควนหว้า ซึ่งอยู่บนเทือกเขากมลา
จากการเข้าตรวจสอบจุดแรกพบเป็นทางขึ้นภูเขา พบรถแบ็กโฮกำลังตักหน้าดินจึงแสดงตัวเข้าจับกุม และควบคุมตัวคนขับรถแบ็กโฮไว้ สอบถามเบื้องต้นทราบว่า เป็นลูกจ้างรับจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งให้มาตักหน้าดินทำถนนในบริเวณดังกล่าวโดยไม่ทราบว่าอยู่ในเขตป่าหรือไม่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นด้านบนของจุดดังกล่าวใกล้เคียงกันมีถนนคอนกรีตตัดขึ้นไป พื้นที่มีสภาพสูงชันมาก คาดว่าจะอยู่ในเขตป่าสงวนเช่นกันจึงขึ้นไปตรวจสอบพบ
จากการตรวจสอบพบว่า มีการตัดโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นไม้กฤษณาขนาดประมาณ 5 คนโอบ 1 ต้น ถูกตัดออกเป็นท่อนๆ ประมาณ 4 ท่อน แต่ละท่อนมีความยาวตั้งแต่ 5 -10 เมตร นอกจากนั้น ยังพบไม้ตีนเป็ดขนาดใหญ่ประมาณ 5 คนโอบเช่นกัน ถูกตัดวางเรียงรายจำนวน 4 ท่อน จึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อเข้ามาตรวจสอบ และตีตราเพื่อยึดไว้ดำเนินคดีต่อไป
นายวีระ กล่าวว่า ในการดำเนินการจุดแรกนั้น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ อส.จะต้องควบคุมตัวคนขับรถแบ็กโฮไว้จนกว่าจะตรวจสอบได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีผู้มาแสดงเอกสารสิทธิ หากเอกสารสิทธิที่แสดงถูกต้องก็จะต้องปล่อยตัวไป หากไม่ถูกต้อง หรือไม่มีเอกสารสิทธิก็จะต้องดำเนินคดีทั้งในส่วนของคนขับ และผู้ว่าจ้าง และจะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนหรือไม่ เพื่อให้มีความชัดเจน เบื้องต้นตรวจสอบจากเอกสารของอำเภอ และวัดตำแหน่งพิกัดแล้วอยู่ในเขตป่าสงวน
ส่วนการดำเนินการจุดที่สอง คือ จุดที่มีการตัดไม้กฤษณา และไม้ตีนเป็ดนั้น จะต้องให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตีตราไม้และตรวจยึด พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะอย่างไรก็ตาม ไม้ทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นไม้สงวน หากตัดโค่นก็ถือว่ามีความผิด ส่วนเรื่องการตรวจสอบที่ดินว่าเป็นการบุกรุกหรือไม่นั้นต้องรอให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบให้ชัดเจนอีกเช่นกัน และหากผู้อ้างครอบครองมีการนำเอกสารสิทธิมาแสดงก็จะต้องตรวจสอบต่อไป
นายวีระ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับไม้กฤษณาที่พบนั้น คาดว่ามีอายุหลายสิบปี แต่เป็นไม้กฤษณาที่ยังไม่มีแกนกลาง คนลักลอบตัดจึงไม่นำออกไปเพราะไม่สามารถนำไปขายเพื่อทำหัวน้ำหอมได้ แต่คาดว่าเตรียมนำไปแปรรูปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีราคาแพง ซึ่งมูลค่าไม้ทั้ง 2 ชนิดหากมีการนำไปแปรรูปแล้วคาดว่าน่าจะมีมูลค่านับล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้รับการประสานจากนายอำเภอกะทู้ เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ นายไพศาล หนูพิชัย หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ 2 (ภูเก็ต) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เดินทางมาตรวจสอบ พบว่า ไม้ที่ตัดทั้ง 2 ประเภทนั้นเป็นไม้สงวนจริง จึงได้ทำการวัดขนาด บันทึกหลักฐาน และตีตราตรวจยึดเพื่อดำเนินคดีต่อไป