กระบี่ - กรมประมงออกสำรวจปริมาณสัตว์น้ำในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต และตรัง รวม 6 จุด ช่วงก่อนประกาศปิดอ่าว หลังมาตรการได้ผล พบอัตราการจับสัตว์น้ำโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1.6 เท่า
วันนี้ (27 มี.ค.) นางนฤนารถ ภัคพงศ์โยธิน หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมประมง นางเพราลัย นุชหมอน เจ้าหน้าที่จากสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีประมงทะเล นายวุฒิชัย วังคะฮาต ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต) พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารจัดการประมงทะเลฝั่งอันดามัน ได้ออกสำรวจปริมาณสัตว์น้ำที่บริเวณปลายเกาะลันตาใหญ่ ระหว่างเกาะบิด๊ะ ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา และเกาะพีพี จ.กระบี่ ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศปิดอ่าวห้ามจับสัตว์น้ำในฤดูปลามีไข่ วางไข่ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2556 เพื่อรวบรวมข้อมูลสภาวะทรัพยากรในทะเลบริเวณฝั่งอันดามัน โดยนำเรือสำรวจประมง 4 ลำ พร้อมเครื่องมืออวนลาก ทำการจับสัตว์น้ำที่อยู่ในน้ำลึกประมาณ 50 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถจับสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ได้เฉลี่ยประมาณ 90-100 กิโลกรัม และผลจากการสำรวจโดยรวม อัตราการจับเฉลี่ยอยู่ที่ 302 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกับปี พ.ศ.2555 อยู่ที่ปะมาณ 1.6 เท่า
นายวุฒิชัย วังคะฮาต ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลฝั่งอันดามัน กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณสัตว์น้ำบริเวณอ่าวพังงา รวม 6 จุด ตั้งแต่ปลายแหลมพันวา จังหวัดพังงา จนถึงเกาะปิดะ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยทำการสำรวจจากเรือประมง 4 ลำ ของกรมประมง พบว่า ในช่วงก่อนมาตรการปิดอ่าว สามารถจับสัตว์น้ำได้คิดเป็นอัตราจับเฉลี่ยรวมกัน 302 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการขยายพื้นที่ห้ามจับสัตว์น้ำในฤดูปลาวางไข่-มีไข่ ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา รวมทั้งชาวประมงให้ความสำคัญในการร่วมมือกันดูแลทรัพยากรสัตว์น้ำ และมาตรการกวดขันจับกุม
นอกจากนี้ ผลจากมาตรการดังกล่าวยังส่งผลให้การประมงพาณิชย์ และการประมงพื้นบ้าน ประกอบด้วย การใช้วิธีจับปลาแบอวนลากเดี่ยวขนาดเล็ก อวนลากคู่ อวนล้อมจับ อวนจมสามชั้น อวนลอยปลาทู และโป๊ะน้ำตื้น ยังคงรักษาระดับผลผลิตได้มากกว่า 86,017 ตันต่อปี ประกอบกับยังพบว่า ชาวประมงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการอนุรักษ์ เนื่องผลจากการร่วมกันอนุรักษ์ฯ ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น พร้อมได้เสนอแนะให้มีการตรวจตราที่เข้มแข็งเพื่อไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมาย
