ระนอง - จังหวัดระนอง ร่วมประชุมภาคีไทย-พม่า (ระนอง-เกาะสอง) เพื่อประสานความร่วมมือตามแนวชายแดนในการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก และสตรีให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 26 มี.ค.56 ที่ห้องประชุม โรงแรมอันดามันคลับ จังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐสหภาพพม่า นายวิโรจน์ แสงศิวะฤทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมคณะ จากจังหวัดระนอง เข้าประชุมร่วมกับ นายจอร์ ซัวโทน ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐสหภาพพม่า โดยมีเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมทวิภาคีไทย-พม่า รวมถึงการจัดทำคู่มือปฏิบัติการร่วมกันในการดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในหลักสากล และอาเซียน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันในเรื่องการตีความ และองค์ประกอบของการค้ามนุษย์ รวมถึงการดำเนินงานป้องกันและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ภายใต้ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและสตรี และอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การประสาน และปฏิบัติงานในการต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นรูปธรรมมากขึ้น
สำหรับข้อหารือที่ฝ่ายพม่าเสนอต่อที่ประชุมนั้น มี 7 ข้อ ได้แก่ 1) ขอให้ฝ่ายไทยส่งมอบพยานชาวพม่าที่อยู่ในประเทศไทยเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานต่อศาลแล้ว 2) กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของพม่า ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีสัญชาติพม่าที่อยู่ในต่างประเทศ หรือชาวต่างชาติที่อยู่ในสาธารณรัฐสหภาพพม่า หากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ขอให้ฝ่ายไทยส่งบุคคลเหล่านั้นให้แก่ศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์จังหวัดเกาะสอง 3) การแปลภาษาพม่าเป็นภาษาไทยในศาลจังหวัดระนอง ผู้ที่ทำหน้าที่ล่ามไม่สามารถแปลภาษาได้อย่างครบถ้วนในประเด็นสำคัญได้ จึงขอให้มีล่ามแปลภาษาพม่าเป็นภาษาไทยจากฝ่ายพม่าเพิ่มอีก 1 คน
4) ระหว่างรอการสืบพยานในศาล ผู้เสียหายมีความกังวลต่อความปลอดภัย และไม่สามารถออกไปทำงานได้ ขาดรายได้ จึงขอให้ช่วยกระชับเวลาให้สั้นลงเพื่อคดีจะได้เสร็จสิ้นเร็ว 5) ให้ศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านมนุษย์จังหวัดระนองแลกเปลี่ยนข้อมูล และข้อกฎหมายร่วมกับศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านมนุษย์จังหวัดเกาะสอง เพื่อผู้เสียหายได้ให้การในศาลได้อย่างถูกต้อง 6) เมื่อจับกุมผู้กระทำความผิดชาวพม่าขอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และร่วมกันดำเนินการสืบหานายหน้า และ 7) หากมีการประสานงานเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานของพยานชาวพม่า เพื่อใช้ในการให้การต่อศาล เมื่อดำเนินเสร็จสิ้นแล้วขอให้ส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวคืนด้วย ซึ่งข้อหารือของทางพม่าทั้ง 7 ข้อนั้น ทางการไทยได้รับไว้เพื่อนำเข้าเป็นวาระการประชุมในครั้งต่อไป
เมื่อวันที่ 26 มี.ค.56 ที่ห้องประชุม โรงแรมอันดามันคลับ จังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐสหภาพพม่า นายวิโรจน์ แสงศิวะฤทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมคณะ จากจังหวัดระนอง เข้าประชุมร่วมกับ นายจอร์ ซัวโทน ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐสหภาพพม่า โดยมีเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมทวิภาคีไทย-พม่า รวมถึงการจัดทำคู่มือปฏิบัติการร่วมกันในการดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในหลักสากล และอาเซียน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันในเรื่องการตีความ และองค์ประกอบของการค้ามนุษย์ รวมถึงการดำเนินงานป้องกันและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ภายใต้ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและสตรี และอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การประสาน และปฏิบัติงานในการต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นรูปธรรมมากขึ้น
สำหรับข้อหารือที่ฝ่ายพม่าเสนอต่อที่ประชุมนั้น มี 7 ข้อ ได้แก่ 1) ขอให้ฝ่ายไทยส่งมอบพยานชาวพม่าที่อยู่ในประเทศไทยเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานต่อศาลแล้ว 2) กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของพม่า ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีสัญชาติพม่าที่อยู่ในต่างประเทศ หรือชาวต่างชาติที่อยู่ในสาธารณรัฐสหภาพพม่า หากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ขอให้ฝ่ายไทยส่งบุคคลเหล่านั้นให้แก่ศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์จังหวัดเกาะสอง 3) การแปลภาษาพม่าเป็นภาษาไทยในศาลจังหวัดระนอง ผู้ที่ทำหน้าที่ล่ามไม่สามารถแปลภาษาได้อย่างครบถ้วนในประเด็นสำคัญได้ จึงขอให้มีล่ามแปลภาษาพม่าเป็นภาษาไทยจากฝ่ายพม่าเพิ่มอีก 1 คน
4) ระหว่างรอการสืบพยานในศาล ผู้เสียหายมีความกังวลต่อความปลอดภัย และไม่สามารถออกไปทำงานได้ ขาดรายได้ จึงขอให้ช่วยกระชับเวลาให้สั้นลงเพื่อคดีจะได้เสร็จสิ้นเร็ว 5) ให้ศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านมนุษย์จังหวัดระนองแลกเปลี่ยนข้อมูล และข้อกฎหมายร่วมกับศูนย์ประสานงานชายแดนเพื่อต่อต้านมนุษย์จังหวัดเกาะสอง เพื่อผู้เสียหายได้ให้การในศาลได้อย่างถูกต้อง 6) เมื่อจับกุมผู้กระทำความผิดชาวพม่าขอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และร่วมกันดำเนินการสืบหานายหน้า และ 7) หากมีการประสานงานเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานของพยานชาวพม่า เพื่อใช้ในการให้การต่อศาล เมื่อดำเนินเสร็จสิ้นแล้วขอให้ส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวคืนด้วย ซึ่งข้อหารือของทางพม่าทั้ง 7 ข้อนั้น ทางการไทยได้รับไว้เพื่อนำเข้าเป็นวาระการประชุมในครั้งต่อไป
