ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส” ไขข้อข้องใจ “พลังงานไทย เพื่อใคร?” ยัน ปตท.เป็นบริษัทวิสาหกิจกึ่งมหาโจร นำเชื้อเพลิงธรรมชาติของไทยไปไว้ที่ออฟฟิศคนหน้าเหลี่ยม ย้ำไม่อาจปฏิเสธได้ว่าน้ำมันทุกหยดเป็นผลประโยชน์ของ “ชินวัตร”
วันนี้ (24 มี.ค.) พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส นักวิชาการอิสระเชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยบนเวทีพันธมิตรฯ สตูลว่า เดิมที ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ในช่วงปี 2544 ถูกแปรรูปเป็นบริษัทกึ่งมหาโจร ซึ่งไม่ใช่บริษัทจำกัดมหาชนหาชนตามที่กล่าวอ้าง โดยชี้ให้เห็นว่า ปตท.สามารสูบน้ำมันได้วันละล้านกว่าลิตร แต่ทำไมคนไทยยังใช้น้ำมันแพงมาตลอด ซึ่งแพงกว่าทั้งคนมาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งที่จริงแล้วไทยเองสามารถใช้น้ำมันในราคาที่ถูกว่าสิงคโปร์ก็เป็นได้ แต่เมื่อทุกอย่างถูกครอบงำด้วยตระกูลคนหน้าเหลี่ยมคือ นายทรงยุทธ ชินวัตร ผู้เป็นน้องชายนักโทษหนีคุกนักโทษหนีคุกทักษิณ ช ชินวัตร ใช้อำนาจมืดมาคลุมการบริหารทุกอย่าง เอาเชื้อเพลิงธรรมชาติทั่วประเทศไปไว้ที่ออฟฟิศหน้าประตูของคนหน้าเลี่ยม และนำน้ำมันทุกหยดเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าชินวัตร คำตอบของน้ำมันแพงนั้นก็ไม่พ้นจากคำว่า ตระกูลชินวัตร
พ.ท.รัฐเขต กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้ที่รับผิดชอบบริการจัดการก๊าซ น้ำมัน และพลังงานทั้งหมดประเทศคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนายกรัฐมนตรีมีตำแหน่งเป็นประธานนโยบายพลังงานแห่งชาติ และเวลานี้ต้องรีบเร่งเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของพลังงานแห่งชาติใหม่ เพราะหลังจากที่ ASTV ตีแผ่เรื่องพลังงาน และแฉทุกอย่างเกี่ยวกับนโยบายการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการลดราคาน้ำมัน นโยบายนี้สามารถทำได้จริงหลังมีอำนาจรัฐ แต่เป็นที่น่าสังเวชใจที่นโยบายดังกล่าวนั้นใช้ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้นเอง จึงส่งผลให้แก๊สราคาแพงขึ้น และข้าวของแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในเวลานี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ สตูลอีกว่า ผลการดำเนินที่ย้ำแย่ของรัฐบาลปูแดงก็เป็นเครื่องการันตีได้แล้วว่า โครงการขออนุมัติเงินการกู้เงินครั้งใหม่ 2.2 ล้านล้านบาท จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งเงินกู้ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาทที่อ้างจะทำโรงไฟฟ้า ถ้าคิดทำจริงคงไม่ถึง 20 ล้านบาท และหากคิดปฏิรูปพลังงานก็น่าจะทำให้ถูก คนไทยได้ใช้น้ำมันถูกกว่าสิงคโปร์ที่เวลานี้มีราคาเพียง 19 บาทต่อลิตร ดังนั้น น้ำมันที่ไทยกลั่นได้วันละ 50 ล้านลิตร ภายใต้การบริหารของรัฐบาลในระบอบทักษิณจงรู้ไว้ว่า ทักษิณ ก็คือ ปตท. และ ปตท.ก็คือ ทักษิณ นั่นเอง