xs
xsm
sm
md
lg

“โจรใต้” ยกระดับเป็น “คอมมานโด” สู้รบแบบกองโจรเลียนแบบยุทธวิธีทหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุคาร์บอมบ์ ก่อนจ่อยิงซ้ำหทาร ร้อย ร.15233 เสียชีวิต 5 ศพ เมื่อวันที่ 10 ก.พ.56
โดย...เอกรักษ์ ศรีรุ่ง

...เช้าวันที่ 10 ก.พ.56 เวลาประมาณ 07.10 น. เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ที่ริมถนนในหมู่บ้าน ระหว่างบ้านซาเมาะ-บ้านท่าธง หมู่ 1 ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ร.15233 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 12 จำนวน 6 นาย เดินทางด้วยรถยนต์ 6 ล้อ เพื่อรับชาวบ้านที่เป็นคนงาน ของโครงการฟาร์มตัวอย่างบ้านวังพญา มาทำงานที่ฟาร์มตัวอย่างตามปกติเช่นทุกวัน...

“หลังสิ้นเสียงระเบิดตูมใหญ่ มีรถกระบะที่บรรทุกชายฉกรรจ์ 5-6 คนเต็มกระบะหลัง วิ่งด้วยความเร็วเข้าไปยังที่เกิดเหตุ ก่อนจะมีเสียงยิงปืนตามมาหลายนัด ขณะที่ฝุ่นควัน เสียงระเบิดยังไม่จางหาย เพียงเวลาไม่นาน รถกระบะคันเดิมนั้นก็วิ่งสวนทางกลับออกมาจากจุดที่เกิดเหตุแล้วหายไปตามเส้นทางหลบหนี” เจ้าหน้าที่เปิดเผย หลังจากได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ
พิธีรดน้ำศพ ทหารกล้า 5 นาย พลีชีพจากเหตุคาร์บอมบ์ เมื่อวันที่ 10 ก.พ.56
 
ซึ่งเหตุระเบิดดังกล่าว ทำให้มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 5 ราย บาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อคือ ส.อ.ธีรยุทธ บุญเตโช พลทหารอิสหะ บาโง๊ย พลทหารพงษ์เทพ ฟัดหมัด พลทหารทรงชัย สุวรรณมณี และพลทหารนุลดี รีเส็น นอกจากนั้น ยังพบทหารบาดเจ็บ 1 นาย คือ จ.ส.ต.ชาตรี อุทาหอน ซึ่งเป็นพลขับรถยนต์ 6 ล้อคันที่ประสบเหตุ

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งได้ยินเสียงระเบิด ก็ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ โดยในที่เกิดเหตุพบซากรถยนต์กระบะจอดอยู่ ยี่ห้อมาสด้า รุ่นไฟเตอร์ สภาพถูกแรงระเบิดฉีกขาดจนเสียหายทั้งคัน เหลือเพียงส่วนห้องเครื่องยนต์ที่มีควันคุกรุ่นอยู่ ห่างไปอีกฟากถนน ประมาณ 10 เมตร มีรถยนต์ 6 ล้อ ของเจ้าหน้าที่ทหารพลิกตะแคงข้างตกลงไปในคูน้ำริมถนน ข้างๆ รถ พบศพเจ้าหน้าที่ทหารนอนเสียชีวิต เรียงรายกระจัดกระจายคนละมุม ซึ่งเป็นภาพที่น่าอนาถแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

โดยสภาพศพถูกแรงระเบิดสะเก็ดระเบิดตามลำตัว แขนขา ศีรษะ ฉีกขาด เท่านั้นยังไม่พอ ยังพบว่าคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนจ่อยิงศีรษะทหารแต่ละนายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบความเสียหายในที่เกิดเหตุ ก็พบว่า คนร้ายยังได้หยิบเอาอาวุธปืนเอ็ม 16 ของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 กระบอก เสื้อเกราะกันกระสุนอีก 2 ตัว หลบหนีไปด้วยหลังก่อเหตุ

 
...หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ เป็นบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้สนธิกำลังติดตามเจ้าของบัตรประจำตัวดังกล่าว ตามเลขที่บ้านที่ระบุในบัตร จนพบตัวเจ้าของบัตร ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านญาติใน ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวมาซักถาม...

ส่วนรถยนต์กระบะคันที่คนร้ายประกอบเป็นระเบิดคาร์บอมบ์ ตรวจสอบก็พบว่าเป็นรถยนต์กระบะของครูสมศักดิ์ ขวัญมา ครูโรงเรียนบ้านบาโง อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งถูกคนร้ายก่อเหตุจ่อยิงกลางโรงอาหารจนเสียชีวิต พร้อม นางตติยารัตน์ ช่วยแก้ว อายุ 49 ปี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบาโง ก่อนที่คนร้ายจะชิงรถยนต์กระบะของครูสมศักดิ์ ขวัญมา หลบหนีไปหลังก่อเหตุ
เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่และเก็บหลักฐาน เหตุคาร์บอมบ์ทหาร 5 ศพ เมื่อวันที่ 10 ก.พ.56
 
รายงานจากชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมทหารพรานที่ 41 ระบุว่า สำหรับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุนี้ พบว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในพื้นที่ เช่น กรณีคนร้ายจำนวนไม่ต่ำกว่า 5-6 คน ได้ก่อเหตุซุ่มยิงแล้วเผา เจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 และแม่บ้าน เสียชีวิต 4 ราย เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าตะปูเรือใบที่คนร้ายใช้โปรยสกัดการเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่เป็นลักษณะเดียวกันกับที่พบในวันเกิดเหตุคาร์บอมบ์ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา

เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าธง ชุด รปภ.ครู บ้านอูเป๊าะ ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 5 นาย ชิงอาวุธปืนไป 6 กระบอก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุยิงทหารในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้ ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย เหตุเกิดวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 เหตุบุกยิงตำรวจทางหลวงเสียชีวิต 2 นาย ที่บ้านกลาพอ หมู่ 11 ต.เตาะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2556 และยิง ผอ.โรงเรียนบ้านบาโง อ.มายอ จ.ปัตตานี เสียชีวิตพร้อมครู 2 ศพ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา

ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ เป็นการรวมกลุ่มการปฏิบัติงานร่วมกันของกลุ่มคนร้ายที่เคลื่อนไหวก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ อ.กะพ้อ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี อ.รามัน จ.ยะลา และ ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกันทั้งหมด โดยมีนายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ หรืออุสตาซรอฮิง อาซ่อง เป็นแกนนำในการสั่งการ
เหตุ ซุ่มยิง แล้วเผา อส.ทพ.ที่ 41 และแม่บ้าน เสียชีวิตรวม 4 ศพ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.55
 
ด้านหน่วยข่าวความมั่นคงในพื้นที่ ได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบ และกลุ่มคนร้ายที่ได้ร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ ก็มีข้อมูลว่า กลุ่มดังกล่าวนี้ถือเป็นกลุ่มก่อเหตุระดับคอมมานโด ที่มีความชำนาญในการสู้รบแบบกองโจร มียุทธวิธีแบบทหาร และมีการวางแผนก่อเหตุอย่างรัดกุม มีความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุรุนแรง อีกทั้งมีการนำเอาแนวร่วมรุ่นใหม่เข้ามาร่วมก่อเหตุ ทั้งการโรยตะปูเรือใบ การตัดต้นไม้ และการสังเกตการณ์ โดยมีการแบ่งการทำงานออกเป็นชุดๆ ทั้งคนร้ายที่ประกอบระเบิดในรถยนต์ และส่งต่อให้คนร้ายอีกกลุ่มนำมาจอดในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อรอเวลาก่อเหตุ ส่วนกลุ่ม “คอมมานโด” จะเป็นคนร้ายระดับปฏิบัติการอาร์เคเค ประมาณ 5-6 คน พร้อมอาวุธปืน ซึ่งจะก่อเหตุยิง และชิงอาวุธปืน หลังจากมีการกดชนวนระเบิดแล้ว โดยเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายๆ ครั้ง เชื่อว่าเป็นการลงมือก่อเหตุของกลุ่มคนร้ายกลุ่มเดียวกันนี้
เหตุคาร์บอมบ์ ตำรวจ สภ.ท่าธง ชุด รปภ.ครู บ้านอูเป๊าะ เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 5 นาย เมื่อวันที่ 25 ก.ค.55
 
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล โดยการนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังถกเถียงถึงประเด็นของการจะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ที่มีความรุนแรง เพื่อหวังจะลดเหตุรุนแรงในพื้นที่ลงนั้น หลายๆ ฝ่ายทั้งภาคประชาชน กิจการร้านค้า ร่วมถึงหน่วยกำลังของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เอง ต่างไม่เห็นด้วย และจะส่งให้เกิดผลเสีย เนื่องจากกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรง พยายามที่จะก่อเหตุให้รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่รัฐบาลจะประกาศเคอร์ฟิว และส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความไม่สะดวกในการประกอบสัมมาอาชีพ และการประกอบศาสนกิจของคนในพื้นที่ จนทำให้เกิดความไม่เห็นด้วยต่อแนวคิดของรัฐบาล และอาจจะส่งผลให้เสียมวลชนไปในที่สุด

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งได้กล่าวว่า “การประกาศเคอร์ฟิวก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ความรุนแรงลดลง หรือทำให้สถานการณ์ความไม่สงบดีขึ้น คนร้ายไม่ได้โง่ หากรัฐบาลประกาศเพียง 2 อำเภอที่เกิดเหตุรุนแรง กลุ่มคนร้ายก็โยกย้ายกำลัง อาวุธไปก่อเหตุในพื้นที่อื่น ปล่อยให้พื้นที่เคอร์ฟิวเกิดการประจันหน้ากัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกับประชาชนเหมือนที่เคยผ่านมา แต่หากรัฐบาลจะประกาศเคอร์ฟิวจริง ก็ต้องประกาศทั้ง 3 จังหวัด ครอบคลุมทุกพื้นที่ มันจึงจะได้ผล และทุกวันนี้ทั้งกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ที่ใช้อยู่ ยังไม่สามารถใช้อำนาจของกฎหมายดังกล่าวได้เต็มที่ หากเปิดใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศเคอร์ฟิว” ...


กำลังโหลดความคิดเห็น