นราธิวาส - ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก เผยผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ปรับตัวรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทแล้ว แต่เพื่อความอยู่รอด จึงประกาศปรับขึ้นค่าห้องพักอีก 100 บาท พร้อมไปกับการปรับปรุงคุณภาพห้องพัก และการให้บริการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.นี้
วันนี้ (25 ม.ค.) นายแสงทอง ปรีชาวุฒิเดช ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก กล่าวภายหลังการประชุมหารือกับผู้ประกอบการโรงแรม จำนวน 38 แห่ง ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศของรัฐบาลว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่พร้อมปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเมื่อปี 2555 จ.นราธิวาส มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 171 บาท และต่อมา ได้ประกาศปรับขึ้นเป็น 239 บาท โดยเพิ่มขึ้นอีก 39 เปอร์เซ็นต์ และล่าสุด ที่มีการปรับขึ้นเป็น 300 บาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์จากอัตราเดิม ดังนั้น จึงไม่ได้มีปัญหาต่อผลประกอบการของโรงแรมในพื้นที่มากนัก เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สถานประกอบการโรงแรมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในภาวะที่ค่าครองชีพ และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีมติให้ปรับขึ้นค่าห้องพักของโรงแรมอีก 100 บาท ในโรงแรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่มีห้องพักตั้งแต่ 100 ห้องขึ้นไป ส่วนโรงแรมขนาดเล็กนอกเหนือจากนี้ จะมีการปรับขึ้นอีกเล็กน้อยตามความเหมาะสม โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.56 นี้เป็นต้นไป และหลังจากนั้นจะมีการประเมินผลอีกครั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า
พร้อมกันนี้ ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก ยังวอนให้นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเข้าใจถึงการปรับขึ้นค่าห้องพักในครั้งนี้ เนื่องจากโรงแรมใน อ.สุไหงโก-ลก ที่แม้จะเป็นอำเภอชายแดนที่มีชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าห้องพักของโรงแรมมานานมากแล้ว อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบราคาค่าห้องพักระดับ 4 ดาวของ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.เบตง ที่อยู่ในพื้นที่เมืองชายแดนเช่นเดียวกัน กลับพบว่า อ.สุไหงโก-ลก มีราคาค่าห้องพักอยู่ที่ห้องละ 800 บาท แต่ อ.เบตงมีราคาต่อห้อง 1,000 บาทขึ้นไป และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย ห้องพักในระดับเดียวกัน อ.สุไหงโก-ลก ราคาห้องละ 300 บาท แต่ในประเทศมาเลเซียจะอยู่ที่ราคาห้องละ 700 บาท และหากที่ อ.สุไหงโก-ลก ราคาห้องละ 700 บาท ในประเทศมาเลเซียจะมีราคาห้องละ 1,400-1,500 บาท แต่เพื่อให้เกิดความสมดุลของการปรับขึ้นค่าห้องพัก ผู้ประกอบการโรงแรมทุกแห่งจึงเห็นชอบที่จะดำเนินการปรับปรุงคุณภาพห้องพัก และการให้บริการเพื่อให้ลูกค้ามีความประทับใจมากขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าห้องพักครั้งนี้จะไม่กระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างใด
ส่วนในการจ่ายค่าจ้างที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทให้แก่ลูกจ้างของโรงแรม เบื้องต้น บางแห่งจะมีการแบ่งจ่ายเป็น 2 งวดต่อเดือน บางแห่งได้เปลี่ยนจากการจ่ายรายเดือน เป็นจ่ายรายวันโดยยึดฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 300 บาทเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้ ในส่วนของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ยังยืนยันที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างทั้งหมดเช่นเดิมเพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูกจ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดผู้ประกอบการ และลูกจ้างต้องทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจ และเห็นใจกันให้มาก เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายด้านที่ต้องนำมาประกอบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สถานประกอบการอยู่รอด และไม่ต้องมีการปรับลดพนักงานออกไปเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก ยังยอมรับว่า พอใจกับมาตรการการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบการของรัฐบาล โดยเฉพาะในด้านการปรับลดภาษี และเปิดการฝึกอบรมวิชาชีพแก่ลูกจ้างของสถานประกอบการ เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเพิ่มผลิตภาพให้กลุ่มลูกจ้างมีศักยภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวมาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการ และลูกจ้างในพื้นที่ได้มาก
วันนี้ (25 ม.ค.) นายแสงทอง ปรีชาวุฒิเดช ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก กล่าวภายหลังการประชุมหารือกับผู้ประกอบการโรงแรม จำนวน 38 แห่ง ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศของรัฐบาลว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่พร้อมปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเมื่อปี 2555 จ.นราธิวาส มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 171 บาท และต่อมา ได้ประกาศปรับขึ้นเป็น 239 บาท โดยเพิ่มขึ้นอีก 39 เปอร์เซ็นต์ และล่าสุด ที่มีการปรับขึ้นเป็น 300 บาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์จากอัตราเดิม ดังนั้น จึงไม่ได้มีปัญหาต่อผลประกอบการของโรงแรมในพื้นที่มากนัก เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สถานประกอบการโรงแรมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในภาวะที่ค่าครองชีพ และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีมติให้ปรับขึ้นค่าห้องพักของโรงแรมอีก 100 บาท ในโรงแรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่มีห้องพักตั้งแต่ 100 ห้องขึ้นไป ส่วนโรงแรมขนาดเล็กนอกเหนือจากนี้ จะมีการปรับขึ้นอีกเล็กน้อยตามความเหมาะสม โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.56 นี้เป็นต้นไป และหลังจากนั้นจะมีการประเมินผลอีกครั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า
พร้อมกันนี้ ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก ยังวอนให้นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเข้าใจถึงการปรับขึ้นค่าห้องพักในครั้งนี้ เนื่องจากโรงแรมใน อ.สุไหงโก-ลก ที่แม้จะเป็นอำเภอชายแดนที่มีชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าห้องพักของโรงแรมมานานมากแล้ว อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบราคาค่าห้องพักระดับ 4 ดาวของ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.เบตง ที่อยู่ในพื้นที่เมืองชายแดนเช่นเดียวกัน กลับพบว่า อ.สุไหงโก-ลก มีราคาค่าห้องพักอยู่ที่ห้องละ 800 บาท แต่ อ.เบตงมีราคาต่อห้อง 1,000 บาทขึ้นไป และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย ห้องพักในระดับเดียวกัน อ.สุไหงโก-ลก ราคาห้องละ 300 บาท แต่ในประเทศมาเลเซียจะอยู่ที่ราคาห้องละ 700 บาท และหากที่ อ.สุไหงโก-ลก ราคาห้องละ 700 บาท ในประเทศมาเลเซียจะมีราคาห้องละ 1,400-1,500 บาท แต่เพื่อให้เกิดความสมดุลของการปรับขึ้นค่าห้องพัก ผู้ประกอบการโรงแรมทุกแห่งจึงเห็นชอบที่จะดำเนินการปรับปรุงคุณภาพห้องพัก และการให้บริการเพื่อให้ลูกค้ามีความประทับใจมากขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าห้องพักครั้งนี้จะไม่กระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างใด
ส่วนในการจ่ายค่าจ้างที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทให้แก่ลูกจ้างของโรงแรม เบื้องต้น บางแห่งจะมีการแบ่งจ่ายเป็น 2 งวดต่อเดือน บางแห่งได้เปลี่ยนจากการจ่ายรายเดือน เป็นจ่ายรายวันโดยยึดฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 300 บาทเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้ ในส่วนของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ยังยืนยันที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างทั้งหมดเช่นเดิมเพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูกจ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดผู้ประกอบการ และลูกจ้างต้องทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจ และเห็นใจกันให้มาก เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายด้านที่ต้องนำมาประกอบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สถานประกอบการอยู่รอด และไม่ต้องมีการปรับลดพนักงานออกไปเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ประธานชมรมโรงแรม อ.สุไหงโก-ลก ยังยอมรับว่า พอใจกับมาตรการการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบการของรัฐบาล โดยเฉพาะในด้านการปรับลดภาษี และเปิดการฝึกอบรมวิชาชีพแก่ลูกจ้างของสถานประกอบการ เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเพิ่มผลิตภาพให้กลุ่มลูกจ้างมีศักยภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวมาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการ และลูกจ้างในพื้นที่ได้มาก
