คอลัมน์ : ด้ามขวานผ่าซาก
โดย...ปิยะโชติ อินทรนิวาส
คลิปวิดีโอที่ตำรวจภายใต้การนำของ พล.ต.ต.ชินทัต มีศุข รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 นำหมายจับของศาลจังหวัดสงขลา พร้อมกำลังหน่วยสวาทแอดวานซ์อาวุธสงครามครบมือ มีท่าทีดูขึงขังขณะเข้าปิดล้อมบ้านพัก และควบคุมตัว นายอุทิศ ชูช่วย นายก อบจ.สงขลา ในข้อหาจ้างวานฆ่า นายพีระ ตันติเศรณี อดีตนายกเทศมนตรีนครสงขลา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 22 ม.ค.2556 ที่ผ่านมา (ออกหมายจับ “อุทิศ ชูช่วย” จ้างวานฆ่า “พีระ” ตร.รวบตัวไปเค้นแล้ว (ชมคลิป) http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000008866)
ภาพที่ปรากฏอาจจะทำให้ผู้คนจำนวนมากที่เคยรู้สึกว่า คดีสังหารโหดนายพีระกลางเมืองสงขลา ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.2555 กาลเวลาทอดผ่านข้ามปีไปแล้ว ทำไมการคลี่คลายคดีถึงชักช้ายืดยาด ไม่เหมือนคดีที่เกิดขึ้นกับคนใหญ่คนโตฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ ที่ตำรวจมักแสดงความสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างชนิดที่ฝุ่นของเหตุการณ์ยังไม่ทันจางหาย แต่ในเวลานี้ กลับกลายเป็นรู้สึกได้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรที่หวังได้ บางคนอาจจะหวังเลยไปจนเชื่อมั่นว่าจะได้เห็นความเป็นธรรมในอีกไม่ช้านาน
สำหรับความคืบหน้าของคดี พล.ต.อ.รชต เย็นทรวง ที่ปรึกษา สบ10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าวไปอีกหนเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ม.ค.2556 ซึ่งนายอุทิศคือผู้ต้องหาคนที่ 5 ที่ถูกจับกุม โดย พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 คือผู้ที่นำคณะเข้าขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดสงขลาด้วยตนเอง และในบ่ายวันเดียวกัน ได้นำตัวนายอุทิศไปขอฝากขังต่อศาล และประกาศคัดค้านการประกันตัว
ก่อนหน้าได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้วจำนวนหนึ่ง เริ่มจากชุดแรก นายไพศาล หนูพันธุ์ นายนิวัฒน์ รัตน์แก้ว และ นายฉ้วน หมวดมี ทั้งหมดเป็นทีมมือปืน ตามด้วย นายกิตติ ชูช่วย น้องชายนายอุทิศ และเคยลงชิงนายกเล็กกับนายพีระ ในฐานะผู้บงการ โดยทั้ง 4 คนได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ แต่มีเพียงนายกิตติเท่านั้นที่ได้รับการประกันตัว ส่วนที่เหลือยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลาง จ.สงขลา
อีกทั้งยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาพร้อมกับนายอุทิศหนนี้ด้วยอีก 5 คนคือ นายปราโมทย์ แสงอรุณ นายก อบต.ท่าบอน อ.ระโนด จ.สงขลา ในข้อหาเดียวกับนายอุทิศคือ จ้างวางฆ่า ที่เหลืออีก 4 คนถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันฆ่า ได้แก่ นายชยันต์ หนูพันธุ์ นายอธิป ด้วงมาก นายณัฐพล นัคเล และ นายสุดขีด จันทร์แก้ว ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใกล้ชิดกับนายอุทิศ
ความจริงนายอุทิศยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่ควรตราหน้าว่าเขาคือ ผู้กระทำผิด แม้ตามขั้นตอนเขาจะยังไม่ได้ตกเป็นจำเลยในศาล แต่ภายหลังเกิดเหตุการณ์สังหารโหดนายพีระ เขาก็ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้วโดยปริยาย?!
ภายหลังจาก “ASTVผู้จัดการภาคใต้” รายงานข่าว และคลิปวิดีโอตำรวจยกขบวนเข้าจับกุมนายอุทิศ สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษกับข่าวนี้คือ การติดตามความคิดเห็นของคนที่เข้าไปอ่านข่าว และชมภาพที่มีตัวเลขสูงถึงกว่า 4 หมื่นเพจวิว รวมถึงมีการลิงก์ไปยังหน้าเฟซบุ๊ก และสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก โดยอยากรู้ว่าผู้คนในสังคมเขารู้สึกอย่างไรกัน โดยเฉพาะข้อความที่โพสต์ท้ายข่าว และโพสต์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ แม้จะว่ากันไปต่างๆ นานา แต่ที่พอจะประมวลสาระสำคัญๆ ได้ ประกอบด้วย
ประเด็นหนึ่ง ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น โดยในข้อเท็จจริงมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก๊วนการเมืองในพื้นที่ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ ซึ่งเวลานี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน ในขณะที่ก็ต่างอยู่ภายใต้ร่มธงของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน
ประเด็นหนึ่ง ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า ต้นตอของปัญหาที่ทำให้เกิดการสังหารอดีตนายกเทศมนตรีนครสงขลาเมื่อปีที่แล้ว จนนำมาสู่การจับกุมตัวนายก อบจ.สงขลาต้นปีนี้คือ โครงการกระเช้าลอยฟ้า และโครงการต่อเนื่องมูลค่ารวมหลายพันล้านบาทของ อบจ.สงขลา ที่ต้องการสร้างขึ้นคร่อมร่องน้ำปากทางเชื่อมต่อระหว่างทะเลอ่าวไทยเข้าสู่ทะเลสาบสงขลา หรือจากหัวเขาแดงของ อ.สิงหนคร พาดข้ามท้องทะเลสู่แหลมสนอ่อน อ.เมือง จ.สงขลา อันถือเป็นป่าสนผืนสุดท้ายของเทศบาลนครสงขลา
ประเด็นหนึ่ง มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทั้งเชื่อมั่น และไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในฝ่ายหลังนี่นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตให้ต้องขบต่อกันได้อีกหลายมิติ เช่น ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างนักการเมืองกับตำรวจ เบื้องหลังการได้มาซึ่งอำนาจของนักการเมือง และตำรวจล้วนมีผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้อง และก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ผู้คนจะมองเห็นว่า เบื้องหลังกระบวนการยุติธรรมก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ และมีผู้ให้ความเห็นอย่างน่ารับฟังคือ การใช้หน่วยสวาทแอดวานซ์พร้อมอาวุธสงครามครบมือเข้าล้อมบ้าน และควบคุมตัวนายอุทิศ ภาพที่ปรากฏเหมือนกับถูกจัดฉากไว้เป็นอย่างดี บางคนถึงขั้นนำไปเปรียบกับฉากในหนังฮอลลีวูด อีกทั้งภาพสีหน้านายอุทศที่แม้ดูจะมีอาการตกใจให้เห็นบ้างในช่วงแรก แต่รวมๆ แล้วค่อนข้างนิ่งเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านเสียมากกว่า
แน่นอนว่า บทสรุปของคดีความนี้จะเป็นอย่างไร เราคงต้องติดตามกันต่อไป เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของฟากฝ่ายประชาคมคนสงขลา ซึ่งก็มีการรวมตัวเคลื่อนไหว และจัดกิจกรรมรำลึกการเสียชีวิตของนายพีระอย่างต่อเนื่อง!!
สำหรับผมแล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สังคมควรต้องช่วยกันคิดต่อ ซึ่งก็มีหลายโพสต์ที่ฉายภาพเชื่อมโยงจากนายอุทิศไปได้ถึงนักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในลักษณะทีเล่นทีจริง และนำมาเปรียบเทียบกันอย่างจริงจัง สิ่งนี้ทำให้ขบต่อไปได้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันเป็นภาพที่มีความโยงใยทางการเมืองต่อเนื่องกันนั่นเอง
กรณีนายอุทิศตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับน้องชาย และคนในเครือข่ายใกล้ชิด เราได้เห็นความเลวร้ายของการเมืองท้องถิ่น ซึ่งก็เชื่อมโยงต่อไปได้ถึงการเมืองสามานย์ในระดับชาติ ขณะที่กรณีของ นช.ทักษิณก็เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความโสมมของการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะความสามานย์ของระบอบทักษิณที่ชักใยครอบงำประเทศไทยมาหลายปี และนอกจากกินลึกถึงการเมืองท้องถิ่นแล้ว ยังระบาดเข้าไปถึงชุมชนรากหญ้าจำนวนมากอีกด้วย
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมไทยควรจะต้องร่วมมือร่วมใจกันชำระล้างระบบการเมืองอันเลวร้าย ไปพร้อมๆ กับช่วยกันโละทิ้งนักการเมืองสามานย์ทุกระดับ??!!