คอลัมน์ : ด้ามขวานผ่าซาก
โดย...ปิยะโชติ อินทรนิวาส
ความตายที่ก้าวอย่างเงียบๆ มาเยือน “เถ้าแก่เยี่ยม” หรือนายบุญเยี่ยม ตันชัชวาล ด้วยวัย 72 ปี อดีตเจ้าของร้านแสงไทยโลหะกิจกลางเมืองยะลา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องราวสลักสำคัญอะไรที่รัฐบาล หรือภาคราชการจะต้องใส่ใจพิจารณาเป็นพิเศษ
ยิ่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งไม่ควรที่ใครจะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้รกสมอง เพราะเดี๋ยวจะยิ่งเอ๋อไปกันใหญ่ ส่วนรองนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่ถูกมอบหมายงานให้เกี่ยวข้องกับการดับไฟใต้ก็อย่าไปรบกวนเลย ขนาดบางคนแค่ได้ยินคำชวนให้มาเหยียบแผ่นดินชายแดนใต้อุจจาระแทบแตกรดกางเกง สำหรับบรรดาผู้คุมกองกำลังปราบโจรใต้ก็อย่างไปจำจี้จ้ำไชดีกว่า เราจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงคำรามสำรากให้รกหู
เถ้าแก่เยี่ยมเสียชีวิตในสภาพจิตใจที่แสนจะบอบช้ำยิ่งนัก บอบช้ำจากการที่บ้านพักอาศัยและกิจการจำหน่ายสีสเปรย์ เครื่องมือจักรกล และสินค้าทางการเกษตร ซึ่งปลุกปั้นหาเลี้ยงครอบครัวสร้างฐานะมั่นคงมาได้ตลอดทั้งชีวิต กลับต้องมลายหายไปแทบหมดสิ้นในพริบตาชั่วสิ้นเสียงระเบิดดังสะนั่นหวั่นไหวกลางใจเมืองยะลาจากเหตุการณ์จักรยานยนต์บอมบ์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555
แม้เหตุการณ์ในวันนั้น เถ้าแก่เยี่ยมจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ภาพอันโหดร้ายที่ยังความสูญเสียแบบหมดเนื้อหมดตัว ชนิดไม่มีแม้บ้านจะอยู่อาศัย ต้องอพยพครอบครัวตัวเองไปหลบร้อนผ่อนหนาวอยู่ที่บ้านลูกชายที่อยู่ในตัวเมืองยะลาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ได้กัดกร่อนชีวิตที่เหลืออยู่ที่ละน้อยๆ แล้วในที่สุด ก็ขาดผึงลงเมื่อร่างกายทนทานไม่ไหวขณะอยู่ในห้องน้ำบ้านลูกชายในช่วงก่อนรุ่งสางของวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา
แม้คนในครอบครัวจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ รวมถึงส่งให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถยื้อยึดชีวิตเถ้าแก่เยี่ยมให้กลับคืนมาได้ ซึ่งขณะนี้ ครอบครัวตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ที่ฉื่อเซียงตึ้ง มูลนิธิแม่กอเหนี่ยวยะลา
“หลังจากบ้าน และร้านได้รับความเสียหายจนหมดสิ้นจากระเบิดในวันนั้น เราต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกชาย เถ้าแก่เยี่ยมก็ยังคงกลับเข้าไปรื้อค้นหาสิ่งของในซากบ้าน และร้านที่ถูกไฟไหม้แทบทุกวัน ถูกเศษเหล็กแทงเข้าที่ขาจนเป็นแผลก็เคย ล่าสุด ก่อนเสียชีวิตบ่นว่าปวดหัวอยู่หลายวัน น่าจะเป็นผลจากความเครียด สุดท้ายก็ช็อกหมดสติในห้องน้ำ”
นี่คือคำบอกเล่าจากนางวิภารัตน์ ตันชัชวาล ภรรยาของเถ้าแก่เยี่ยม
เมื่อสอบถามถึงเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือจากภาครัฐ ภรรยา และลูกๆ ช่วยกันบอกเล่าว่า หลังเกิดเหตุเถ้าแก่เยี่ยมได้รับเงินเยียวยาช่วยเหลือเพียง 180,000 บาท โดยทางจังหวัดบอกว่าให้นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินไปยื่นต่อศูนย์ปฏิบัติการเยียวยา เพื่อทำเรื่องร้องขอค่าเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ หลักฐาน และสิ่งของทุกอย่างถูกเผาหมดไปกับกองเพลิง แล้วจะเอาอะไรไปยื่นได้อีก
ผมนำเรื่องราวของเถ้าแก่เยี่ยมมาเล่าให้ฟัง เนื่องจากภายหลังที่ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” รายงานข่าว (“เถ้าแก่เยี่ยม” เจ้าของร้านแสงไทยฯ ยะลา เครียดเป็นลมเสียชีวิตหลังถูก จยย.บอมบ์จนหมดตัว) ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาคึกคัก และมีหลากหลายแง่มุมให้ขบคิดต่อพอสมควร
ประเด็นหนึ่ง เป็นเรื่องสุดอเนจอนาถใจของผู้คนจำนวนมากคือ คนเสื้อแดงร่วมกันเผาเมือง ตายแล้วยังได้รับการเยียวยาถึง 7.75 ล้านบาท แต่คนค้าขายสุจริตอย่างเถ้าแก่เยี่ยม ถูกโจรใต้วางระเบิดทั้งบ้าน และร้านค้าชนิดหมดเนื้อหมดตัว แถมต้องจมจ่อมอยู่กับกองทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ซึ่งกัดกร่อนสภาพจิตใจที่บอบช้ำอย่างสาหัส และสู้ทนอยู่ได้เพียงเดือนกว่าร่างกายก็รับไม่ไหว เมื่อสิ้นลมหายใจจากสาเหตุที่ตกเป็น “เหยื่อไฟใต้” โดยตรง แต่กลับได้รับการเยียวยาเพียง 1.8 แสนบาท
ทำไมชีวิตของสุจริตชนอย่าง “เถ้าแก่เยี่ยม” จึงต่ำต้อยด้อยค่ากว่า “คนเสื้อแดง” ราวสุดปลายฟ้ากับก้นเหวลึก
ประเด็นหนึ่ง การเยียวยาในครั้งนี้หน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลปูแดงขาเกให้เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบโดยตรงก็คือ “ศอ.บต.” ในเวลานี้ ผู้ที่ถูกส่งมานั่งบัญชาการในฐานะเลขาธิการได้แก่ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นที่รับรู้กันทั้งบ้านเมืองมาตลอดว่าคือ สายตรงของระบอบทักษิณ และสายสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้นำหญิง ซึ่งจะถูกส่งมาเพื่อภารกิจอะไรก็ตาม แต่เสียงแซดที่ตามหลังมาด้วยก็คือ เพื่อการไต่เต้ารอกลับไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงสำคัญ
ความจริงแล้ว ปัญหาการเยียวยาเหยื่อไฟใต้ไม่ใช่เพิ่งเกิด นับตั้งแต่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร จุดไม้ขีดก้านแรกส่งผลให้ไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุคุโชนเมื่อต้นปี 2547 พร้อมๆ กับเปิดยุทธการดับไฟใต้ด้วยการให้เอาเบนซินไปราดรดต่อเนื่องเกือบทศวรรษมานี้ กระบวนการเยียวยาเหยื่อไฟใต้ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง มีการเคลื่อนไหวเรียกร้อง และร้องเรียนมากมาย มีการแบ่งฝักฝ่าย และเล่นพวกเล่นพ้อง โดยเฉพาะกับความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียมมีต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
เวลานี้ ปัญหาการเยียวยาไฟใต้น่าจะถูกยกระดับให้เป็นอีกวิกฤตชาติสำคัญ ที่สามารถแยกออกจากวิกฤตไฟใต้ได้แล้ว
แต่ประการที่ต้องนับว่าสำคัญยิ่งก็คือ หลายปีที่ผ่านมา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขรมต่อกระบวนการดับไฟใต้ หอก และดาบแทบทั้งหมดที่ถูกทำให้พุ่งออกไปไม่ว่าจากสื่อ หรือฝ่ายใด แทบจะกล่าวได้ว่า ล้วนมีเป้าหมายอยู่ที่ฝ่ายคุมกองกำลังรัฐ โดยเฉพาะฝ่ายทหารที่ถืออำนาจมากที่สุด ตามด้วยฝ่ายตำรวจที่มีหน้าที่โดยตรง ซึ่งข้อกล่าวหาที่นับว่ารุนแรงประเภทค้าสงคราม เลี้ยงไข้โจรใต้ หากินกับงบประมาณ หรือนับแต่เกิดไฟใต้ระลอกใหม่มีแต่ภาพแห่งความล้มเหลวปรากฎชัดมาตลอด ข้อกล่าวหาเทือกนี้หากพิจารณาให้ดีก็ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้เสียทั้งหมด
ทว่า ในส่วนของฟากฝ่ายพลเรือนนกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์น้อยมาก ที่ยังมีอยู่บ้างก็แค่พอเป็นกษัยคือ พุ่งไปหา ศอ.บต. หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นหัวใจของฝ่ายพลเรือนในจังหวัดชายแดนใต้นั่นเอง
ดังนั้น ความล้มเหลวในกระบวนการเยียวยาไฟใต้มันจึงคือการตอกย้ำว่า แท้จริงแล้วการทำหน้าที่ของ ศอ.บต.ที่เป็นใจกลางของฝ่ายพลเรือนก็ล้มเหลวไม่ต่างจากฝ่ายกองกำลัง ซึ่งมันคือภาพสะท้อนต่อไปให้เห็นว่า ไม่ว่าจะหน่วยงานรัฐที่มุ่งเน้นงานความมั่นคง การไล่ล่าปราบปรามขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือหน่วยงานที่มุ่งเน้นงานด้านการพัฒนาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ต่างล้วนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างล้มเหลวด้วยกันทั้งสิ้น
สุดท้ายจึงเป็นอื่นไปไม่ได้ ทั้งหมดทั้งปวงก็คือ การฉายภาพให้เห็นกระบวนการดับไฟใต้ของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะประกาศยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีอะไรไปแล้วมามายมาย ไม่ว่าจะยุบทิ้ง หรือก่อตั้งองค์กร หรือหน่วยงานอะไรขึ้นมาใหม่ให้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะทุ่มเทงบประมาณลงไปให้แล้วหลายแสนล้านบาท และกำลังจะติดตามมาอีกนับแสนนับล้านล้านบาท ไม่ว่าจะมอบหมายให้ใครหน้าไหนรับผิดชอบ และที่สำคัญไม่ว่าระบอบทักษิณจะเปลี่ยนรัฐบาลมาแล้วกี่ชุดต่อกี่ชุดก็ตาม ความล้มเหลวของกระบวนการดับไฟใต้ก็ยังคงดำรงอยู่ให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์
ช่วงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่เวลานี้ เป็นห้วงเวลาเดียวกับการย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ของวิกฤตไฟใต้ระลอกใหม่ ซึ่งนับเอาเหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายปิเหล็งที่นราธิวาสเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เป็นจุดเริ่มต้นนั้น ผมอยากเสนอว่าให้รัฐบาลปูแดงจัดฉลองใหญ่ โดยเชิญคนเสื้อแดงมาชุมนุมที่ชายแดนใต้ ซึ่งจะให้มีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงเพิ่มขึ้นอีกก็ยิ่งดี แล้วระดม ครม.ไปตั้งโต๊ะทำแอ็กอาร์ตประชุมในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น เชิญนักโทษหนีคุกไปเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่นอกประเทศให้สไกป์ หรือวิดีโอลิงก์โชว์ตัวแบบเป็นๆ สมทบเข้าไปด้วย
รับรองกระบวนการดับไฟใต้ในปี 2556 จะดูครึกครื้น และครึกโครมแบบเร้าใจได้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ