ตรัง - ผู้ประกอบการแปลงเพาะชำต้นกล้าปาล์มน้ำมันเริ่มได้รับผลกระทบ หลังจากราคาตกต่ำอย่างหนัก ทำให้เกษตรกรชะลอการตัดสินใจสั่งซื้อ เตรียมหันไปรุกตลาดในภาคอีสานแทน
วันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำรวจแปลงเพาะชำต้นกล้าปาล์มน้ำมันต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดตรัง หลังจากเกิดปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือนแล้ว ซึ่งจากกิโลกรัมละกว่า 6 บาท ในช่วงต้นปี เหลือเพียงแค่กิโลกรัมละ 2 บาทเศษนั้น ก็ส่งผลให้เกษตรกรชาวตรังที่เคยสนใจจะเพาะปลูกปาล์มน้ำมันต้องชะลอการสั่งซื้อต้นกล้าปาล์มน้ำมันออกไประยะหนึ่ง เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ด้านราคาอีกครั้งหนึ่ง
โดยนายวีระ ตระกูลรัมย์ ผู้จัดการ บริษัท ตรัง-มาเลเซีย เทคโนโลยีเกษตร จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแปลงเพาะชำต้นกล้าปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของจังหวัดตรัง กล่าวว่า เมื่อช่วงต้นปี 2555 ต้นกล้าปาล์มน้ำมันขายดีอย่างมากจนทางแปลงไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการ เนื่องจากแต่ละต้นต้องใช้เวลาในการบำรุงรักษาถึง 8 เดือน สืบเนื่องจากในขณะนั้นราคาปาล์มน้ำมันสูงถึงกิโลกรัมละ 6.20 บาท ขณะที่พืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้อย่างยางพารา ในช่วงนั้นก็มีราคาตกลงมาอย่างมาก จนเหลือแค่กิโลกรัมละ 70-80 บาท
นอกจากนั้น ยังเป็นผลมาจากการที่กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ได้ให้เงินสนับสนุนแก่เกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนการจากเพาะปลูกจากยางพาราไปเป็นปาล์มน้ำมันสูงกว่าถึงไร่ละ 1 หมื่นบาท จึงส่งผลให้ปี 2555 นี้ มีพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันในจังหวัดตรังเพิ่มขึ้น4-5% หรือมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เฉพาะแปลงเพาะชำของตนมียอดขายสูงถึง 1 แสนต้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ราคาปาล์มน้ำมันได้ตกต่ำลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ก็ทำให้เกษตรกรหลายรายในภาคใต้ชะลอการสั่งซื้อต้นกล้าปาล์มน้ำมัน เนื่องจากกำลังรอดูว่ารัฐบาลจะเข้ามาประกันราคากิโลกรัมละ 5 บาทหรือไม่ หากทำได้จริงยอดการสั่งซื้อต้นกล้าปาล์มน้ำมันในจังหวัดตรังก็ยังคงเป็นปกติ แต่หากทำไม่ได้ก็ย่อมมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการแปลงเพาะชำอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ได้เตรียมรับมือด้วยการไปเปิดตลาดทางภาคอีสานมากขึ้น โดยเฉพาะที่ จ.หนองคาย จ.นครพนม จ.อุดรธานี และ จ.บึงกาฬ เพราะช่วงที่ผ่านมา มียอดขายสูงถึง 30% ของต้นกล้าทั้งหมด และเกษตรกรที่นั่นก็กำลังให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นโดยไม่สนว่าราคาปาล์มน้ำมันในขณะนี้จะตกต่ำเช่นใด