คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
เมื่อเปิดตำนานดูการท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่ม อันดับหนึ่งทางด้านวัฒนธรรม ลองย้อนกลับไปดูวัฒนธรรมตะวันตกเผยแพร่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกโยนไปให้สื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ ทีวี หนังสือพิมพ์ (อินเทอร์เน็ตยังไม่มี ยังไม่รู้จัก) พวกตามก้นฝรั่งก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ยังแสดงออกไม่เต็มที่
แต่พอมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป วัฒนธรรมที่พวกเขานำมาเผยแพร่ให้คนไทย ตั้งแต่การแต่งกาย นุ่งน้อยห่มน้อย บิกินี มินิสเกิร์ต หรือกางเกงสั้นจู๋จนเห็นลิงเห็นหอย รวมทั้งการกอดจูบลูบคลำกันในที่สาธารณะอย่างไม่อายฟ้าดิน จนกระทั่งเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต ยุคโลกาภิวัตน์สื่อสารไร้พรมแดน
ตอนนี้แหละ วัยรุ่นไทย รวมทั้งพวกหัวนอกที่อยากตามก้นฝรั่ง หรือชอบของนอกก็เริ่มคล้อยตาม เอาเยี่ยงอย่างทันที สลัดผ้าถุงทิ้ง นุ่งผ้าเช็ดตัวแทน หรือแม้กระทั่งการฟังการร้องเพลง เพลงไทยเริ่มฟังไม่เป็น ไม่เสนาะหู และไม่ทันสมัย มันต้องแหกปากตะโกนเพลง ฟังไม่ออก บอกไม่ถูกว่าเป็นภาษามนุษย์ หรือภาษาอะไร
นั่นแหละสุดแสนไพเราะของเขา แล้วค่ายเพลงแต่ละแห่งก็สนองตอบ ให้นักร้องวัยรุ่นไทยทั้งหญิงชายเลียนแบบ เต้นไปแหกปากไป กลับขายดิบขายดีฮิตติดอันดับในเวลาอันรวดเร็ว
วัฒนธรรมไทย หรือวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมานานแสนนาน มันน่ารังเกียจตรงไหน คนไทยยุคใหม่จึงไม่แยแส ไม่ยอมเข้าใกล้ หนำซ้ำยังหัวเราะเยาะเสียอีกว่าคร่ำครึ เชย มีหน่วยงานไหนเคยทำวิจัย วิเคราะห์หาสาเหตุหรือไม่?
อีกไม่ช้าเราก็จะเข้าเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว วัฒนธรรมใหม่ๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย ก็ไม่รู้ว่าจะดีเลวแค่ไหน ตอนนี้กำลังหลงใหลเกาหลีอยู่ทั้งวัยรุ่น วัยดึก กำลังคลั่ง “กังนัมสไตล์” น่าเป็นห่วง
หรือจะปล่อยให้เหลือเพียงตำนานที่เล่าขานกัน และนำมาจัดโชว์ในเทศกาลต่างๆ อวดนักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราว อย่างที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้ว่า นี่คือวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมบาบ๋าฃองบรรพบุรุษที่ในปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว ก็ควรจะแจ้งให้นักท่องเที่ยวทราบด้วย ไม่ใช่ไกด์บางคน หรือเจ้าหน้าที่บางคนโกหกตอแหลนักท่องเที่ยวว่า เป็นวัฒนธรรมที่ยังอยู่
ชาวภูเก็ต พังงา กระบี่ที่นุ่งผ้ากระโจมอกอยู่กับบ้าน หรืออาบน้ำยังมีอยู่ไหม ลองให้คนรุ่นใหม่นุ่งดูสิ หลุดแน่ สู้นุ่งผ้าเช็ดตัววับๆ แวมๆ เดินฉุยฉายเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จก็ยังนุ่งนั่งแต่งหน้า นุ่งเดินโชว์อยู่อีก ส่วนเวลาออกธุระนอกบ้านนุ่งผ้าถุง ผ้าปาเต๊ะ ใส่เสื้อลูกไม้เหลืออยู่สักกี่คน กำลังจะสูญพันธุ์แล้วเหมือนกัน
ส่วนวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวนำเข้ามา โดยเฉพาะพวก “ฮิปปี้” กลุ่มนี้ไม่น่าจะเรียกว่านักท่องเที่ยวเลย เรียกว่าพวกพเนจร เร่ร่อน หรืออะไรที่เป็นพวกต่ำๆ กว่านั้นจะเหมาะกว่า พวกฮิปปี้ประหยัด สมถะ ใส่เสื้อยืด นุ่งกางขาสั้น หรือกางเกงขาด ใส่รองเท้าแตะ สะพายเป้ กลิ่นตัวแรง นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่ยึดติด มีเพศสัมพันธ์อย่างเสรีในกลุ่มเดียวกัน
พวกนี้เที่ยวเดินกันไปแบบส่งเดช ไม่มีไกด์นำเที่ยว ใช้ปากกับภาษาใบ้ หรือมือเป็นเครื่องนำทาง ถ้ามาเป็นกลุ่มก็ไม่เกินสามคน
ไม่เข้าใจเหมือนกันที่ อ.ส.ท.คุยนักคุยหนา รายได้จากนักท่องเที่ยวแต่ละปีนับพันนับหมื่นล้านจากนักท่องเที่ยวพวกนี้ละหรือ และเราได้อะไรจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ คุ้มกันไหม?
ต่างจากพวกทหารจีไอ ตอนพวกนั้นอยู่แถวอีสาน ตะวันออก หรือผ่านมาแวะโดยทางเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพัทยา ชลบุรี หรือป่าตอง ภูเก็ต ถ้าพวกนี้เข้าเงินสะพัด สถานบันเทิง หญิงบริการ ทั้งเมียเช่า เมียชั่วคราวต่างแฮปปี้ โกยเงินกันเละ เหล้าเบียร์ขายกันเป็นเทน้ำเทท่า พวกนี้ขนเงินกันมาเที่ยวมากินกันจริงๆ ทั้งวันทั้งคืน
ขอโทษเถอะ สำหรับพวกฮิปปี้นั้น ที่เห็นกับตามชายหาดต่างๆ ทั้งหนุ่มทั้งสาวผมแดง ผมดำ นอนแก้ผ้าผึ่งแดด มองกันไปมองกันมา พอเคลิ้มก็ “ปี้” กันบนชายหาดชนิดไม่อายฟ้าดิน ไม่ต้องดูว่าคู่เขา เมียใคร มีเซ็กซ์กันอย่างเสรีเสร็จแล้วก็แล้วไป ก็ยังนึกอยู่เหมือนกันถ้ามันท้องขึ้นมาจะทำยังไง ใครจะรับผิดชอบเป็นพ่อเป็นแม่.....
จะเล่าให้ฟัง ตอนนั้นยังหนุ่ม ดันทะลึ่งไปแอบดู ก็ไม่เชิง บังเอิญไปเดินเที่ยวตามชายหาด ถ้าเห็นครั้งเดียวก็พอจะสันนิษฐานว่า มันบังเอิญ แต่นี่ดันไปเจอะไปเจอเอาหลายครั้ง ปู้ยี่ปู้ยำนัวเนียกันตามซอกหิน หรือตามพุ่มไม้ ผ่าเที่ยงกลางแดดเปรี้ยงๆ นั่นแหละ เห็นกันจะจะ
สอบถามพวกเด็กๆ ชาวบ้านแถวชายหาด ต่างก็ยืนยันมีทุกวัน ว่ากันว่าพอมาเจอกัน นั่งซดเบียร์มองตากัน เบียร์ยังไม่ทันหมดขวด หมดกระป๋อง จูงมือคลอเคลียกันไปแล้ว ลองสะกดรอยตามไปดูเถอะ.....ชัวร์!
นอกจากนั้น ชาวบ้านยังเล่าให้ฟังว่า บางครั้งแหม่มฮิปปี้สาวเกิดตกมันขึ้นมา ยังชวนเด็กวัยรุ่นไปช่วยยกเสาลงหลุมให้มันหายอยากอย่างหน้าตาเฉย ปัจจุบันก็ยังมีพวกบีชบอยตัวดำล่ำบึ้กนั่นแหละ สเปกเขาละ ไม่ว่าแหม่ม หรือญี่ปุ่นไม่ต้องไปจีบเขา เดี๋ยวเขาก็มาจีบเอง
นี่แหละ “ฮิปปี้” ที่คนไทยผู้มีอารมณ์สุนทรีให้ฉายาเรียกขานเสียเพราะพริ้งว่า “บุปผาชน” และพวกศิลปิน ศิลปะ คลั่งไคล้พิสมัยแต่งตัวเลียนแบบไว้ผมยาว หนวดเครารุงรัง สะพายย่ามแทนเป้
ต่อมา พวกแยงกี้ และฮิปปี้ผมยาวเหล่านี้ก็ค่อยๆ ถอยฉากหนีออกไป หลังมาเจอทีเด็ดเจ้าของบ้านในยุคที่ไม่มีกฎหมายรองรับ หรือมีกฎหมาย แต่ผู้รักษากฎหมายแบะๆ พูดกันไม่รู้เรื่องและไม่เอาไหน ยกตัวอย่างเอาที่ภูเก็ตนี่แหละ
ว่ากันถึงสมัยก่อนตอนยุคบุกเบิกนะ ไม่ใช่สมัยนี้
เล่นเอาอ่วม เจ็บทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งทรัพย์สินก็สูญหาย ในขณะนอนแก้ผ้าอาบแดดเพลินๆ โดนวัยรุ่นยกพวกเข้ารุมกินโต๊ะ ข่มขืนน่วมไปทั้งตัว บางรายเผลอชะล่าใจ วางทรัพย์สิน กระเป๋า กล้องถ่ายรูปไว้เดี๋ยวเดียว ถูกลักขโมยแล้ว ซ้ำร้ายบางรายยังถูกหลอกต้มตุ๋นอีกสารพัด เมื่อไปแจ้งความสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง และยังถูกเจ้าหน้าที่ไม่รู้ความล้อเลียนเอาอีก เหมือนกับซ้ำเติม
ยิ่งตามชนบทยิ่งไปกันใหญ่ ขาดหน่วยงานที่จะประสาน ไม่มีล่าม ทั้งระบบราชการเมืองไทยมีขั้นตอนมาก สลับซับซ้อน ก็แสบไป......
ยังมาเจอเอาโรงพักบ้านนอกที่มีร้อยเวรแค่สามสี่คน บางแห่งก็มีแค่หัวหน้าสถานีคนเดียวเป็นแค่จ่า ก็ใช้ภาษามือกัน ฝ่ายเจ้าหน้าที่เราก็ยกเก้าอี้ให้นั่งตามมารยาท ไม่รู้เหมือนกันว่าให้นั่งคอยอะไร หรือคอยใครจนครึ่งค่อนวัน แล้วใครจะไปคอย
ในช่วงระยะเวลานั้นก็น่าเห็นใจ มีตำรวจนี่แหละเป็นหนังหน้าไฟ รับทุกเรื่อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบโดยตรงก็ไม่มี จะมีก็ อ.ส.ท.นั่นแหละที่จะต้องประสานงานให้ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัด เหมือนอย่างทุกวันนี้
“เวอรี่ แบด”
มันร้องประโยคเดียวไม่ว่าหญิ งหรือชาย แล้วก็หิ้วเป้ออกเดินจ้ำอ้าวไปด้วยความเดือดดาล ชนิดไม่เหลียวหลัง ตำรวจทั้งหมู่ทั้งจ่าก็หัวเราะกันอย่างขบขัน ไม่รู้มันว่าอะไร
ต่อมา นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ลดน้อยถอยไป มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่มากันเป็นกรุ๊ป เป็นครอบครัว หลั่งไหลเข้ามาแทนที่ ก็เจอปัญหาเดียวกันอีกนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวมีระดับ หรือไร้ระดับ ไม่มีใครมาทนรอให้เจ้าหน้าที่ไทยสอบสวนสืบสวนเอาตัวคนร้ายมาลงโทษ หรือรอชี้ตัวผู้ต้องหาอยู่เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนหรอก อยู่แค่วันสองวันก็ต้องกลับแล้ว นักท่องเที่ยวกลุ่มหลังนี้ดีหน่อยมีบริษัททัวร์หรือไกด์คอยประสานงานเป็นล่ามให้
แต่คดีก็เจ๊า เมื่อไม่มีโจทก์ คนร้ายก็ลอยนวล แล้วมันก็ย่ามใจก่อเรื่องเข้าอีหรอบเดิมอีก บางรายเจ้าหน้าที่ก็น่าจะรู้ตัวคนร้าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นี่แหละกฎหมายไทย และปัจจุบัน ก็มีสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแทรกเป็นยาดำอยู่อีก บางรายจับแล้วก็ต้องปล่อยตัวชั่วคราว จนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจนค่อยคุมตัวกันใหม่
ประกอบกับในภายหลัง มีนักท่องเที่ยวร้องเรียนไปยัง อ.ส.ท.บ่อยเข้า จึงแก้ปัญหาโดยขอกำลังไปยังกองปราบปราม และทำการฝึกอบรมทางด้านการบริการ ภาษา จนกระทั่งมีการตั้งตำรวจท่องเที่ยวขึ้นรับผิดชอบโดยตรงมาจนทุกวันนี้
วัฒนธรรมนุ่งน้อยห่มน้อย สมสู่กันไม่เลือกที่ มีเซ็กซ์อย่างเสรี ถ้าอยู่ในสายตากลุ่มวัยรุ่นติดยาเสพติด หรืออัปยา และอยู่ในที่เปลี่ยว แล้วจะเหลืออะไร ผลกรรมก็ตามสนองเท่านั้น
ปัญหานักท่องเที่ยวถูกข่มขืนมีมานานแล้ว จะเป็นแหม่ม เป็นหมวย หรือญี่ปุ่น เกาหลี แม้กระทั่งสาวไทยเองมีทั้งนั้น ตำรวจทำอะไรได้บ้าง จับมาแล้วก็ให้ประกันตัว ปล่อยตัวชั่วคราว ออกมาลอยนวลอย่างที่กระบี่ หรือสุราษฎร์ฯ แม้แต่ภูเก็ตที่ฮือฮากันเมื่อเร็วๆ นี้ ยุคนี้เป็นยุคสื่อสารไร้พรมแดน เหตุเกิดวันนี้ ชั่วโมงนี้ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
มิหนำซ้ำ ฝ่ายผู้ประกอบการยังออกมาจ้อหน้าตาเฉยว่า ไม่กระทบการท่องเที่ยวเสียอีก มันก็ประหลาดดี หรือเป็นการปลอบใจตัวเอง
แล้วหากกฎหมายเป็นแค่เสือกระดาษ ผู้รักษากฎหมายเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำตัวไม่ต่างจากหมาตาเหลือง มิจฉาชีพมันก็เหิมเกริม มาเฟียมันก็จุติ คราวนี้ก็สบายแฮ รวบรัดตัดความสรุปได้เลย ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า มาเฟียตัวนี้แหละที่โตวันโตคืน แล้วเป็นฝ่ายหาข้าวหาน้ำ แม้กระทั่งหาขี้อันโอชะป้อนมันทั้งฝูง
นั่น.....เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน นำมาเล่าให้ฟัง ลองลำดับดูที่มาที่ไปของปัญหา ส่วนปัจจุบันทำท่าจะดี เพราะแต่ละประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ได้มีการตั้งกงสุลของตนให้ช่วยดูแล และติดตามเรื่องให้ รวมทั้งมีอินเทอร์เน็ตคอยประจานความอัปรีย์ของเจ้าหน้าที่ไทยอยู่
ยังครับ....ยังไม่จบ ปัญหาท่องเที่ยวเมืองไทย เฉพาะฝั่งอันดามันมีมากมายมหาศาล แม้ว่าจะถูกเร่งรัดให้แก้ให้ได้ก่อนจะเข้าเป็นประชาคมอาเซียน เชื่อเถอะพันเปอร์เซ็นต์ก็แก้ไม่ได้ ต่อฉบับหน้า.