นราธิวาส - นายอำเภอสุไหงโก-ลก ลงพื้นที่ตรวจสอบบรรยากาศการเปิดร้านในวันศุกร์ที่ตลาดสดหลังโรงแรมเก็นติ้ง พบว่าส่วนใหญ่มีการปิดร้านในวันนี้ เนื่องจากมีความหวาดกลัวกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้น
วันนี้ (28 ก.ย.) นายจำนัล เหมือนดำ นายอำเภอสุไหงโก-ลก ลงพื้นที่เพื่อติดตามบรรยากาศการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในพื้นที่รอบเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก หลังมีข่าวลือเรื่องการข่มขู่ให้ปิดร้านทุกวันศุกร์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยที่บริเวณตลาดสดหลังโรงแรมเก็นติ้ง พบว่า ร้านค้าส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่จำหน่ายอาหารประเภทของสด เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว อาหารทะเล และผักสด ของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยมุสลิมมีการปิดร้านไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่ร้านค้าของผู้ประกอบการชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมอีกส่วนหนึ่งยังมีการเปิดร้านกันตามปกติ
ทั้งนี้ นายอำเภอสุไหงโก-ลก ระบุว่า การไม่เปิดร้านจำหน่ายสินค้าในทุกวันศุกร์ของร้านค้าบางแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศุกร์ที่ 28 ก.ย. แยกได้เป็น 3 กรณี คือ กรณีแรก ร้านค้าบางส่วนไม่เปิดร้านในทุกวันศุกร์เป็นประจำอยู่แล้ว กรณีที่สอง พ่อค้าแม่ค้าต่างอำเภอไม่กล้านำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ และสุดท้ายคือ ร้านค้าในพื้นที่กลัวความไม่ปลอดภัยจึงปิดร้านเพื่อรอติดตามสถานการณ์ในวันนี้ไปก่อน ส่วนร้านค้าในย่านธุรกิจ และร้านอาหารในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ยังคงเปิดร้านกันตามปกติ โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียซึ่งมักเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงวันศุกร์ และวันเสาร์ ออกมานั่งรับประทานอาหารกันอย่างคึกคัก โดยเป็นบรรยากาศปกติของทุกวันศุกร์ใน อ.สุไหงโก-ลก
นายอำเภอสุไหงโก-ลก กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว มั่นใจว่าเป็นเพียงข่าวลือที่สร้างกระแสขึ้นจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่พบใบปลิว หรือหลักฐานอื่นใดที่ยืนยันว่ามีการสั่งการอย่างเป็นรูปธรรมของกลุ่มเครือข่ายใด จึงขอวอนให้พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่อย่าได้ตื่นตระหนกกับข่าวลือที่เกิดขึ้น โดยหากผู้ใดที่มีความประสงค์จะเปิดร้านในทุกวันศุกร์ก็สามารถเปิดได้ตามปกติ โดยตนเองได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทั้งใน และนอกเครื่องแบบลงพื้นที่เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ตลาดสด และแหล่งจำหน่ายสินค้าในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก อย่างทั่วถึง เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เปิดจำหน่ายสินค้าในพื้นที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวลือที่เกิดขึ้นได้สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้แก่พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่หาเช้ากินค่ำ เพราะทำให้ขาดรายได้หลักที่จะนำมาเลี้ยงครอบครัว โดยพยายามบิดเบือนหลักคำสอนทางศาสนามาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่งไม่ต่างจากการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
