นครศรีธรรมราช - ไฟป่าพรุควนเคร็งยังขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง 9 จุด ใน 3 อำเภอ วิกฤตส่งผลกระทบต่ออาชีพหาปลา และถอนกระจูดในป่าพรุ ขณะที่ชุดเฉพาะกิจปราบปรามการลักลอบตัดไม้และทำลายทรัพยากรธรรมชาตินครศรีธรรมราช กระจายกำลังลงพื้นที่แล้ว
วันนี้ (14 ส.ค.) สถานการณ์ไฟป่าที่กำลังลุกลามในป่าพรุควนเคร็ง โดยเฉพาะในกลุ่มป่าบ้านกุมแป ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ที่กำลังโหมไหม้อย่างหนักนั้น เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าสามารถเข้าไปปฏิบัติงานได้เพียงช่วงเช้า และช่วงเย็นเท่านั้น เนื่องจากลางวันจะโหมอย่างรุนแรงไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ โดยทำได้เพียงตีกรอบของวงแนวไฟเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากกระแสลมที่ผันผวนแนวไฟขยายวงอย่างไร้ทิศทาง และได้สร้างความเสียหายให้แก่ผืนป่าอย่างต่อเนื่อง ประมาณการขั้นต้นพบว่า ความเสียหายของพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10,000 ไร่แล้ว
ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ที่กำลังขยายวงความเสียหายไปอย่างกว้างขวางนั้น พบว่า ได้ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่มีอาชีพหากินกับผืนป่าพรุแห่งนี้แตกต่างกัน เช่น นายสมพล อินทร์พะยอม ชาวบ้านจาก อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ซึ่งได้เดินทางมาหาปลาในพื้นที่ป่าพรุแห่งนี้อย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ ระบุว่า เช่นเดียวกับชาวบ้านในพื้นที่ การหาปลาเป็นไปอย่างยากลำบาก ปลาน้อยลงไปมากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย เฝ้าทอดแหทั้งวันได้ปลาไม่ถึง 2 กิโลกรัม และยังต้องคอยระวังแนวของไฟ รวมทั้งทิศทางลมที่หอบเอาควันพิษเข้ามาด้วย
ส่วนนางสำเริง ริ่นมี ชาวบ้านกุมแป ต.บ้านตูล อ.ชะอวด ซึ่งมีอาชีพถอนกระจูดนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จักสานต่างๆ ระบุว่า แหล่งเก็บกระจูดของชาวบ้านกระจูดถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายร้อยไร่หาได้ยากขึ้น ต้องพยายามหนีออกจากแนวไฟถอนกระจูดมาเก็บไว้ให้มากที่สุด ก่อนที่ไฟจะลามไปถึง เพื่อเก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการจักสานแล้วนำไปขาย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีรายได้เข้ามายิ่งลำบากหนักมากขึ้น
ขณะที่การลงพื้นที่ นายศุภโชค พราหมพูน หัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามการลักลอบตัดไม้และทำลายทรัพยากรธรรมชาตินครศรีธรรมราช ได้นำกำลังลงพื้นที่กระจายไปในหลายจุดเพื่อสืบสวนหาข่าว โดยมีการสนธิกำลังจากฝ่ายปกครอง ตชด., ตร.ภูธร, ทหาร ทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ขณะเดียวกัน ได้ใช้วิธีการตระเวนไปยังตามแนวป่า และอาจมีการจู่โจมจับกุมหากพบการกระทำความผิดซึ่งหน้า ทั้งในส่วนของการลอบเผา และพื้นที่บุกรุก
และในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน สถานการณ์ไฟภายในป่าพรุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแนวไฟได้เกิดขึ้นพร้อมกันถึง 9 จุด ใน 3 อำเภอ คือ อ.เชียรใหญ่ อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ชะอวด โดยแต่ละจุดนั้น มีแนวไฟลุกลามกว้างนับร้อยเมตร และขยายวงต่อไปเรื่อยๆ โดยกำลังเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจากหลายจังหวัดที่เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องทำงานอย่างหนัก บางจุดต้องถอนกำลังออกมาเนื่องจากถูกไฟโหมรุนแร งและเข้าโอบล้อมเจ้าหน้าที่
ขณะเดียวกัน พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้เดินทางเข้าพื้นที่เกิดเหตุในอำเภอชะอวด หลังจากนั้น ได้มีการสั่งการให้เพิ่มกำลังพลเข้าสนับสนุนหน่วยงานปกติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเร่งนำรถน้ำที่แบ่งภารกิจการแจกจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนในช่วงภัยแล้งมาสนับสนุนในการดับไฟป่าอย่างเร่งด่วน เนื่องจากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น