กมธ.เชิญปลัดสาธารณสุขชี้แจงยาหวัดรั่วไหลพฤหัสฯ นี้

ตรัง - คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเชิญปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามถึงกรณีที่ยาแก้หวัด สูตรซูโดอีเฟดรีน รั่วไหลเป็นจำนวนมาก

วันนี้ (2 เม.ย.) นายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 5 เมษายนนี้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข ได้นัดประชุมคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข เพื่อเชิญนายแพทย์ไพจิตร วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด มาสอบถามถึงกรณีของยาแก้หวัด สูตรซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติด ที่มีการรั่วไหลออกมาจากโรงพยาบาลต่างๆ เป็นจำนวนมาก

นอกจากนั้น ยังเตรียมเชิญหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาสอบถามในโอกาสต่อไปเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมรู้สึกห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับการระบาดของยาเสพติดที่กำลังรุนแรงอยู่ในขณะนี้

นายแพทย์สุกิจ กล่าวอีกว่า กรณีนี้ทั้งทางรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข จะต้องรีบเข้ามาดำเนินการสกัดการรั่วไหลมิให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐ ที่หลายแห่งกลับทำเสียเอง ซึ่งต้องไปควบคุมทั้งการผลิต และการขายให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะสั่งห้ามนำยาแก้หวัด สูตรซูโดอีเฟดรีน มาใช้ เนื่องจากยาชนิดนี้มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคค่อนข้างดี อีกทั้งยังมีราคาไม่แพง จึงเหมาะต่อการนำไปใช้ของประชาชน เพียงแต่หน่วยงานต้นสังกัดจะต้องดูแลระบบการเบิกจ่าย อย่าปล่อยให้มีลักษณะที่เจ้าหน้าที่ภายในลักลอบเพื่อนำเอาไปขายเสียเอง หรือควรเสนอให้มีการเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่รายใดก็ตามที่มีการประพฤติผิด เพื่อมิให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่านี้

โฆษกคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวด้วยว่า สมัยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งที่ผ่านมา ตนเคยนำปัญหานี้เข้าหารือในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขณะนั้นยังมีการขายยาแก้หวัด สูตรซูโดอีเฟดรีน ตามร้านขายยา หรือ คลินิกทั่วไป หลังจากพบพฤติกรรมของเซลส์บางคน ที่นำยาดังกล่าวไปขายให้แก่ร้านขายยา ก่อนขอซื้อกลับในราคาที่สูงกว่า เพื่อนำไปขายต่อยังเป้าหมาย จนทำให้ในช่วงนั้นเกิดปัญหายาแก้หวัดขาดตลาด หลังทราบปัญหา ต่อมาในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกระทรวงสาธารณสุข จึงได้สั่งห้ามขายยาดังกล่าวในร้านขายยา หรือคลินิกทั่วไปอีก ยกเว้นในโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยพักค้างคืนเท่านั้น ปัญหาจึงค่อยๆ เบาบางลงไป และกลับมารุนแรงอีกครั้งเมื่อช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมา