ชุมพร - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอความร่วมมือชาวบ้านหยุดงมหาเหรียญ ร.5 ในแม่น้ำชุมพร รอพิสูจน์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หากใช่ของจริง ถือเป็นสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดครอบครอง มีไว้ เก็บไว้ ซื้อหรือรับจำนำ มีโทษทั้งปรับ ทั้งจำ
วันนี้ (27 มี.ค.) ความคืบหน้าจากกรณีที่มีชาวบ้านจำนวนมากได้เดินทางไปงมหาเหรียญ ร.5 ที่บริเวณแม่น้ำชุมพร หมู่ที่ 6 ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร ซึ่งอยู่ห่างจากวัดพระขวาง วัดชื่อดังประจำ จ.ชุมพร ประมาณ 200 เมตร จนเป็นข่าวฮือฮาแพร่สะพัดออกไป ทำให้มีชาวบ้านทั้งในจังหวัดและใกล้เคียง ได้เดินทางมาในพื้นที่เพื่อลงไปงมหาเหรียญ ร.5 ในบริเวณดังกล่าว จำนวนมาก เนื่องจากยังมีคนงมหาพบเหรียญ ร.5 และวัตถุโบราณอื่นๆ อยู่เรื่อยๆ นอกจากนั้นยังมีเซียนพระและนักสะสมของเก่าทั้งในพื้นที่ จ.ชุมพร และต่างจังหวัด เข้าไปขอซื้อเพื่อพาไปขายต่อ และซื้อเก็บไว้เป็นของสะสมด้วยเช่นกัน
ล่าสุด นายชนการ ทิพย์ประเสริฐสุข ปลัดอาวุโส ปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอเมืองชุมพร ได้จัดเจ้าหน้าที่ อส.ลงพื้นที่ดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับชาวบ้านที่มาหาเหรียญในแม่น้ำชุมพร เพราะหวั่นว่าจะงมหาเหรียญจนเลยไปในคุ้งน้ำลึก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวระดับน้ำมีความลึก โดยเฉพาะเด็กๆ ถือว่าอันตรายอย่างมาก
ด้าน น.ส.อัจจิมา หนูคง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชุมพร กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้ขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้ลงไปกั้นเขตโดยรอบพื้นที่แล้ว โดยห้ามเด็ดขาดมิให้ผู้ใดลงไปที่ริมตลิ่งและในแม่น้ำชุมพร บริเวณจุดที่ชาวบ้านพบเหรียญ ร.5 และวัตถุอื่นๆแล้ว เพราะจะทำลายหลักฐานต่างๆ ที่สามารถชี้วัดถึงความเป็นมาของโบราณวัตถุที่พบได้ ซึ่งขณะนี้นักโบราณคดีจากสำนักศิลปากร ที่ 14 จ.นครศรีธรรมราช กำลังเดินทางมาเพื่อทำการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ว่า สถานที่พบเหรียญ ร.5 จำนวนมากดังกล่าวนั้น มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อย่างไร เป็นเส้นทางการค้าทางน้ำหรือไม่ และอดีตเป็นชุมชนโบราณหรือไม่อย่างไร และทั้งนี้ จะนำเหรียญ ร.5 ที่พบไปพิสูจน์ว่ามีความเก่ามากน้อยขนาดไหน หรือเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการค้าหรือไม่ อย่างไรด้วย
น.ส.อัจจิมา กล่าวต่อว่า หากพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นของเก่าโบราณคดี หรือโบราณวัตถุจริง ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นสมบัติของชาติ ผู้ใดครอบครอง มีไว้ เก็บไว้ โดยสิ่งของเหล่านั้น โดยไม่ได้มีผู้อ้างเป็นเจ้าของ ก็ย่อมมีความผิด และหากผู้ใดจำหน่ายหรือซ่อนเร้น หรือรับจำนำเพื่อให้ได้มาเป็นของตนเอง ก็จะมีความผิดเช่นกันโทษจำคุกถึง 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งปรับทั้งจำอีกด้วย
วันนี้ (27 มี.ค.) ความคืบหน้าจากกรณีที่มีชาวบ้านจำนวนมากได้เดินทางไปงมหาเหรียญ ร.5 ที่บริเวณแม่น้ำชุมพร หมู่ที่ 6 ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร ซึ่งอยู่ห่างจากวัดพระขวาง วัดชื่อดังประจำ จ.ชุมพร ประมาณ 200 เมตร จนเป็นข่าวฮือฮาแพร่สะพัดออกไป ทำให้มีชาวบ้านทั้งในจังหวัดและใกล้เคียง ได้เดินทางมาในพื้นที่เพื่อลงไปงมหาเหรียญ ร.5 ในบริเวณดังกล่าว จำนวนมาก เนื่องจากยังมีคนงมหาพบเหรียญ ร.5 และวัตถุโบราณอื่นๆ อยู่เรื่อยๆ นอกจากนั้นยังมีเซียนพระและนักสะสมของเก่าทั้งในพื้นที่ จ.ชุมพร และต่างจังหวัด เข้าไปขอซื้อเพื่อพาไปขายต่อ และซื้อเก็บไว้เป็นของสะสมด้วยเช่นกัน
ล่าสุด นายชนการ ทิพย์ประเสริฐสุข ปลัดอาวุโส ปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอเมืองชุมพร ได้จัดเจ้าหน้าที่ อส.ลงพื้นที่ดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับชาวบ้านที่มาหาเหรียญในแม่น้ำชุมพร เพราะหวั่นว่าจะงมหาเหรียญจนเลยไปในคุ้งน้ำลึก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวระดับน้ำมีความลึก โดยเฉพาะเด็กๆ ถือว่าอันตรายอย่างมาก
ด้าน น.ส.อัจจิมา หนูคง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชุมพร กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้ขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้ลงไปกั้นเขตโดยรอบพื้นที่แล้ว โดยห้ามเด็ดขาดมิให้ผู้ใดลงไปที่ริมตลิ่งและในแม่น้ำชุมพร บริเวณจุดที่ชาวบ้านพบเหรียญ ร.5 และวัตถุอื่นๆแล้ว เพราะจะทำลายหลักฐานต่างๆ ที่สามารถชี้วัดถึงความเป็นมาของโบราณวัตถุที่พบได้ ซึ่งขณะนี้นักโบราณคดีจากสำนักศิลปากร ที่ 14 จ.นครศรีธรรมราช กำลังเดินทางมาเพื่อทำการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ว่า สถานที่พบเหรียญ ร.5 จำนวนมากดังกล่าวนั้น มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อย่างไร เป็นเส้นทางการค้าทางน้ำหรือไม่ และอดีตเป็นชุมชนโบราณหรือไม่อย่างไร และทั้งนี้ จะนำเหรียญ ร.5 ที่พบไปพิสูจน์ว่ามีความเก่ามากน้อยขนาดไหน หรือเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการค้าหรือไม่ อย่างไรด้วย
น.ส.อัจจิมา กล่าวต่อว่า หากพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นของเก่าโบราณคดี หรือโบราณวัตถุจริง ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นสมบัติของชาติ ผู้ใดครอบครอง มีไว้ เก็บไว้ โดยสิ่งของเหล่านั้น โดยไม่ได้มีผู้อ้างเป็นเจ้าของ ก็ย่อมมีความผิด และหากผู้ใดจำหน่ายหรือซ่อนเร้น หรือรับจำนำเพื่อให้ได้มาเป็นของตนเอง ก็จะมีความผิดเช่นกันโทษจำคุกถึง 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งปรับทั้งจำอีกด้วย
