ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หน่วยสืบสวนปราบปรามภูเก็ต กรมศุลกากรจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน- พร้อมน้ำมันดีเซล 1 แสนลิตร มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
วันนี้ (17 มี.ค.) ที่บริเวณท่าเทียบเรือศุลกากร นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร พร้อมด้วย นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม นางนันท์ฐิตา คงเมือง นายด่านศุลกากรภูเก็ต นายนิมิต แสงอำไพ ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 2 และเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนปราบปรามภูเก็ต กรมศุลกากร ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมเรือเหล็กบรรทุกน้ำมันดีเซลลักลอบหนีศุลกากร จำนวน 100,000 ลิตร มูลค่าของกลางกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนปราบปราม 2 ภูเก็ต จับกุมได้เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึงการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบหนีภาษีศุลกากรในครั้งนี้ ว่า ในส่วนของกรมศุลกากรมุ่งเน้นนโยบายในการเร่งรัดปราบปรามสินค้าลักลอบหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม ข้อกำกัด อย่างเข้มงวด เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้อง สังคม และ สิ่งแวดล้อม จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเข้มงวดในการดำเนินการปราบปรามการกระทำความผิด รวมทั้งในส่วนของการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนมาจำหน่ายให้กับเรือต่างๆในเขตน่านน้ำของไทยด้วย
ด้านการข่าวพบว่ายังมีเรือซอยที่ลักลอบไปรับน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่จอดลอยลำอยู่นอกน่านน้ำไทย เข้ามาจำหน่ายให้กับเรือประมงอยู่บ่อยครั้ง จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา นายนิมิตร แสงอำไพ ผู้อำนวยการสืบสวนปราบปราม 2 กรมศุลกากร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนปราบปราม นำเรือศุลกากร 1101 ออกปฏิบัติหน้าที่ทางทะเลบริเวณเกาะราชาน้อย อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังได้รับแจ้งจากทางการข่าวว่ามีเรือลักลอบนำน้ำมันเข้ามาจำหน่ายให้กับเรือประมงในพื้นที่ดังกล่าว
จากการออกลาดตระเวนเรดาร์ตรวจสอบพบเรือต้องสงสัย จึงได้นำเรือศุลกากร แล่นสกัดจับกุมเรือลำดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันลำดังกล่าวได้ ที่บริเวณ แลตติจูด 07 องศา 29 ลิปดา 24 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูด 98 องศา 30 ลิปดา 09 ฟิลิปดาตะวันออก ห่างจากเกาะราชาน้อย จ.ภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกพบว่าเป็นเรือเหล็กชื่อ SINGA MAJU สัญชาติมาเลเซีย ความยาว 35 เมตร กว้าง 5 เมตร ลึก 3 เมตร โดยมีนาย RANLAN สัญชาติอินโดนีเซีย เป็นผู้ควบคุมเรือ และมีลูกเรือชาวอินโดนีเซีย อีก 6 คน
เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ควบคุมเรือ และลูกเรือ พร้อมด้วยเรือเหล็กซึ่งภายในมีน้ำมันดีเซล จำนวน 100,000 ลิตร มาสอบสวนขยายผลที่หน่วยสืบสวนปราบปรามภูเก็ต พร้อมแจ้งข้อกล่าวว่า เป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากรฐานลักลอบนำน้ำมันดีเซล หรือรับซื้อ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่เสียภาษี ของต้องห้าม ต้องกำกัด หรือของที่ไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง อันเป็นความผิดตามมาตร 27,27ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ประกอบมาตรา 16,17 แห่งพ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 โดยเจ้าหน้าที่นำเรือเหล็กบรรทุกน้ำมัน และน้ำมันดีเซล พร้อมลูกเรือและผู้ควบคุมเรือส่งด่านศุลกากรภูเก็ตเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่าเรือลำดังกล่าวซึ่งเป็นเรือซอยมีพฤติกรรมไปรับน้ำมันมาจากเรือใหญ่ และลักลอบนำน้ำมันไม่เสียภาษีเข้ามาจำหน่ายให้กับเรือประมงบริเวณใกล้กับเขตน้ำน่านน้ำมาแล้วหลายครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องแต่จะเป็นลักษณะเข้า-ออก แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมได้ พร้อมด้วยน้ำมันดีเซลจำนวน 1 แสนลิตร มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท สำหรับเรือลำที่เจ้าหน้าที่จับกุมได้ในครั้งนี้สามารถบรรทุกน้ำมันได้เต็มที่ 500,000 ลิตร เชื่อว่าก่อนที่จะถูกจับกุมน่าจะจำหน่ายน้ำมันไปได้แล้วส่วนหนึ่ง
นายสมชาย กล่าวต่อไป ถึงแนวโน้มการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน ว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันในบ้านเราแตกต่างกับราคาน้ำมันในต่างประเทศ โดยราคาน้ำมันในบ้านเราขยับตัวสูงกว่ามาก ทำให้เป็นแรงจูงใจให้กับผู้กระทำความผิดในการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเถื่อนทั้งทางทะเล และบนบก และมีแนวโน้มว่าจะมีการลักลอบจำหน่ายมากขึ้น โดยจะมีเรือใหญ่มาจอดลอยลำส่งน้ำมันให้กับเรือซอยเพื่อนำเข้ามาขายในเขตน่านน้ำไทย ซึ่งเรื่องนี้ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังป้องกันการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเถื่อนอย่างเข้มงวดทั้งทางบก และทางทะเล
