คอลัม:แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
เห็นจะทิ้งเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในจังหวัดภูเก็ตไปไม่ได้ และการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจตัวนี้ก็ยากที่จะแตะเบรค หยุดยั้งให้มันชลอลงได้อีกต่อไป
การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มบุกเบิก ล้วนได้รับการเกื้อหนุน และแรงส่งจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก การท่องเที่ยวดี อสังหาริมทรัพย์ดีด้วย รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องก็ดีตาม โยงลากกันไปเป็นลูกโซ่
ทั้งเป็นความโชคดีของภูเก็ต รวมทั้งฝั่งอันดามันทั้งแถบ ภัยจากธรรมชาติ น้ำท่วม อุทกภัย รวมทั้งภัยการเมืองที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่เศรษฐกิจตกต่ำ ล้วนไม่มีผลกระทบ จะมีก็แค่โดนควันหลงเล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ
ตั้งแต่ท่องเที่ยวบูม หลังแร่ดีบุกหมดราคา ยางพาราตกต่ำ ภูเก็ต และพื้นที่ฝั่งอันดามันเคยทรุดหนัก จากคลื่นยักษ์ “สึนามิ” ถล่มเพียงครั้งเดียว แค่สองปีก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิม ที่สาหัสหนักหน่อยก็น่าจะเป็นทางเขาหลักละถึงตะกั่วป่าของจังหวัดพังงา ที่เพิ่งจะเริ่มเปิดตลาดท่องเที่ยว ถือเป็นคราวเคราะห์ของผู้ประกอบการ
แต่หากจะพิจารณาให้ดี มองให้ลึก ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ขยายฐานไปจากภูเก็ต หรือส่วนกลางที่มีรากฐานมั่นคงอยู่แล้ว จะมีบางส่วนก็เพียงผู้ประกอบหน้าใหม่ในพื้นที่เท่านั้นที่กระอักเลือด ก็ไม่กี่รายถ้าภาครัฐมีความจริงใจจะช่วยเหลือ ย่อมทำได้ไม่ยาก
กลับมาว่ากันถึงการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อ ก็ขอย้อนเวลาสู่อดีตสักนิด เพื่อให้เห็นความเป็นมาของเกาะภูเก็ต จังหวัดที่ว่ากันว่า “ไม่มีภูเขา”
การลงทุนพัฒนาที่ดิน และโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดภุเก็ต เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมหลังจากที่แร่ดีบุกหมดคุณค่า ราคาตกต่ำ สูงสุดย่างแผ่นเกรดเอราคาแค่กิโลกรัมละ 15-16 บาท โชคดีที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ หาดทราย ชายทะเล และใต้ทะเล ยังไม่ถูกทำลายด้วยการดูดดำแร่ หรือการทำเหมืองในทะเล เช่นฝั่งตะวันออก ที่กลายเป็นทะเลโคลน
ขณะเดียวกันช่วงนั้น หลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทะยอยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จึงได้มีการเสนอตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ อสท.ขึ้นมารองรับ ดูแลธุรกิจตัวนี้ สำนักงานตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ มีพล.อ.เฉลิมชัย จารุวัตร์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก มีหน้าที่เสาะหาแหล่งท่องเที่ยวป้อนตลาด
ฝั่งอันดามัน ผืนดินทุกตารางนิ้วล้วนอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติสวยงาม ชายทะเล หาดทรายสีทอง น้ำทะเลสีคราม รวมทั้งปะการังใต้ทะเลถูกดึงมาเป็นจุดขาย
แล้วการพัฒนาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มผุดตาม โดยนักลงทุนจากส่วนกลางที่ อสท.ดึงเข้ามา และให้การสนับสนุน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ดินบริเวณชายทะเล หรือติดหาดถูกกลุ่มนายหน้า และนักเก็งกำไรกว้านซื้อเพื่อเสนอให้นักลงทุนสร้างโรงแรม ที่พักนักท่องเที่ยว
ในอดีตที่ดินติดหาด หรือใกล้หาดนั้นไม่มีราคาค่างวด ปลูกพืชอะไรไม่ได้ นอกจากมะพร้าว รวมทั้งใช้เป็นที่พักของชาวประมง และที่ตากอวนจับปลา หรือพื้นบ้านเรียก “ทับอวน” บอกขายกันไร่ละ 1,000 - 2,000 บาท หาคนซื้อไม่ได้ เมื่อมีการกว้านซื้อต่างก็รีบขาย แล้วอพยพไปอยู่ที่อื่น
มะพร้าว ต้นสนเริ่มทะยอยถูกโค่น ถอนรากถอนโคน ที่พักชาวประมง หรือทับอวนถูกไล่ที่ เพื่อปลูกสร้างป่าคอนกรีตขึ้นมารองรับความเจริญ หาดทรายขาว หรือทรายสีทองที่เคยสงบก็เริ่มคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวผมแดง นุ่งน้อยห่มน้อย เปลือยอกนอนตากแดด
นักลงทุนส่วนใหญ่มาจากส่วนกลาง หรือต่างประเทศ คนพื้นที่เองรุ่นบุกเบิก ต่างไม่ถนัด และไม่กล้าเสี่ยงในระยะแรก จนกระทั่งมาถึงรุ่นสอง ได้ออกไปศึกษาเปิดหูเปิดตาจึงมีหลายโครงการที่ลงทุนโดยนักลงทุนในพื้นที่ แต่ก็ใช้ที่ดินของตัวเองเป็นหลัก
จากผลการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ธรรมชาติที่เคยสวยงาม พื้นที่สีเขียวเริ่มหดหายไป หาดทรายที่เคยสงบยามค่ำคืน ในฤดูเต่าวางไข่ ก็จะเห็นเต่าทะเลทั้งเล็กใหญ่คลานต้วมเตี้ยมขึ้นมาวางไข่ ปัจจุบันหายจ้อย ในทางกลับกันกลับมีเทศกาลปล่อยเต่าที่เพาะฟักคืนสู่ทะเล จะมีชีวิตรอดยืนยาวจนเจริญพันธ์กี่ตัว เป็นเหยื่อปลาใหญ่ เป็นเหยื่ออวนลากกี่ตัว ไม่มีใครบอกได้
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ธนันธ์ ตันไพบูลย์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภูเก็ตแล้วน่าห่วง จังหวัดใกล้เคียงโซนอันดามันทั้งหมด ในอนาคต ก็คงจะไม่ต่างจากภูเก็ต
ธนันธ์บอกว่า กางลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตปีนี้ ระดับกลางในแนวดิ่ง คือคอนโดฯ การแข่งขันค่อนข้างสูง และร้อนแรงโดยเฉพาะคอนโดที่ราคาประมาณ 8-9 แสนบาท หรือไม่ถึงล้านบาทล้วนโตแบบก้าวกระโดด กลุ่มเป้าหมายก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งราคผ่อนไม่ต่างจากค่าเช่าบ้าน
เพราะฉะนั้นผ่อนคอนโดฯ ดีกว่าเช่าบ้าน ได้ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเมื่อไม่อยู่ หรือย้ายที่ทำงานก็ขายต่อ หรือให้เช่า
ส่วนนักลงทุนนั้น ก็ล้วนมาจากส่วนกลาง ต่างขนเงินมาลงทุนหลายต่อหลายโครงการ และยังหาทำเลลงทุนต่อเนื่อง การลงทุนปีนี้ของกลุ่มนักลงทุนจากส่วนกลาง คาดคะเนไว้อยู่ที่ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่าตัว ปีที่แล้วตัวเลขอยู่ที่ 10,000 ล้านบาทต้นๆ
ธนันธ์ ยังกล่าวถึงบ้านหรูที่เคยเฟื่องฟูเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาว่า การขายอืดลง ตลาดบ้านหรู ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยุโรป ซึ่งซื้อไว้เป็นบ้านพักผ่อน หรือบ้านที่สอง ในช่วงระยะที่ผ่านมาเศรษฐกิจของยุโรปตกต่ำ กำลังซื้อถดถอย การท่องเที่ยวลดลงไปด้วย
ตราบใดที่การท่องเที่ยวยังอยู่คู่กับภูเก็ต และคิดว่าต้องอยู่ตลอดไป เพราะภูเก็ตไม่มีทางที่จะหนีเป็นอื่นไปได้แล้ว ตราบนั้นการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ก็จะเกาะติดไม่หยุดโต จนกว่าจะอิ่มตัว นั่นหมายถึงว่า ตึกระฟ้าเต็มพื้นที่ภูเก็ตแล้วนั่นแหละ
อีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า ธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว ป่าไม้ ความร่มรื่น สุขสงบที่เป็นจุดขายปัจจุบัน ทะยอยหมดสิ้น กลายเป็นตึกระฟ้าป่าคอนกรีตอันสุดวิไล ก็คงจะเป็นจุดขายอีกด้านหนึ่ง และสุดท้ายบ่อนคาสิโนก็คงผุดขึ้นในภูเก็ต สมใจอยากของคนบางกลุ่ม หลังจากธรรมชาติหมดไป
อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ ทั้งจำนวนพลโลก พลเมือง เพิ่มทวีมากขึ้น โลกมันร้อนขึ้นทุกวัน ล้วนเป็นการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น การจะไปหยุด ไปฉุดกระชากให้โลกกลับมาสู่สภาพเดิมนั้น น่าจะเป็นแค่ฝัน
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มนุษย์หนีไม่พ้น ธรรมชาติถูกทำลาย เสื่อมสลาย ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน จะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมนั้นยาก ถึงจะฟื้นฟูได้ก็ไม่เหมือนเดิม มนุษย์เกิดใหม่รุ่นหลัง ก็ไม่เหมือนคนเก่า ทั้งรูปร่าง หน้าตา นิสัย และจิตใจ
ภูเก็ตในอนาคต ก็คงเป็นป่าคอนกรีต ที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พักชั่วคราว หรืออาจจะเป็นสถานที่ฟอกเงินของกลุ่มมาเฟีย หลังเปิดประตูสู่อาเซี่ยน และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเล ที่เป็นเพียงเมืองท่าให้เรือสำราญ หรือเรือยอช์ทเข้ามาพัก แวะรับเสบียงแล้วเดินทางต่อ ไปลังกาวี หรือสิงคโปร์ เวียตนาม ฟิลิบปินส์ หรือไม่อีกทีก็เป็นเกาะที่มีบ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย.
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
เห็นจะทิ้งเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในจังหวัดภูเก็ตไปไม่ได้ และการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจตัวนี้ก็ยากที่จะแตะเบรค หยุดยั้งให้มันชลอลงได้อีกต่อไป
การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มบุกเบิก ล้วนได้รับการเกื้อหนุน และแรงส่งจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก การท่องเที่ยวดี อสังหาริมทรัพย์ดีด้วย รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องก็ดีตาม โยงลากกันไปเป็นลูกโซ่
ทั้งเป็นความโชคดีของภูเก็ต รวมทั้งฝั่งอันดามันทั้งแถบ ภัยจากธรรมชาติ น้ำท่วม อุทกภัย รวมทั้งภัยการเมืองที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่เศรษฐกิจตกต่ำ ล้วนไม่มีผลกระทบ จะมีก็แค่โดนควันหลงเล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ
ตั้งแต่ท่องเที่ยวบูม หลังแร่ดีบุกหมดราคา ยางพาราตกต่ำ ภูเก็ต และพื้นที่ฝั่งอันดามันเคยทรุดหนัก จากคลื่นยักษ์ “สึนามิ” ถล่มเพียงครั้งเดียว แค่สองปีก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิม ที่สาหัสหนักหน่อยก็น่าจะเป็นทางเขาหลักละถึงตะกั่วป่าของจังหวัดพังงา ที่เพิ่งจะเริ่มเปิดตลาดท่องเที่ยว ถือเป็นคราวเคราะห์ของผู้ประกอบการ
แต่หากจะพิจารณาให้ดี มองให้ลึก ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ขยายฐานไปจากภูเก็ต หรือส่วนกลางที่มีรากฐานมั่นคงอยู่แล้ว จะมีบางส่วนก็เพียงผู้ประกอบหน้าใหม่ในพื้นที่เท่านั้นที่กระอักเลือด ก็ไม่กี่รายถ้าภาครัฐมีความจริงใจจะช่วยเหลือ ย่อมทำได้ไม่ยาก
กลับมาว่ากันถึงการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อ ก็ขอย้อนเวลาสู่อดีตสักนิด เพื่อให้เห็นความเป็นมาของเกาะภูเก็ต จังหวัดที่ว่ากันว่า “ไม่มีภูเขา”
การลงทุนพัฒนาที่ดิน และโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดภุเก็ต เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมหลังจากที่แร่ดีบุกหมดคุณค่า ราคาตกต่ำ สูงสุดย่างแผ่นเกรดเอราคาแค่กิโลกรัมละ 15-16 บาท โชคดีที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ หาดทราย ชายทะเล และใต้ทะเล ยังไม่ถูกทำลายด้วยการดูดดำแร่ หรือการทำเหมืองในทะเล เช่นฝั่งตะวันออก ที่กลายเป็นทะเลโคลน
ขณะเดียวกันช่วงนั้น หลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทะยอยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จึงได้มีการเสนอตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ อสท.ขึ้นมารองรับ ดูแลธุรกิจตัวนี้ สำนักงานตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ มีพล.อ.เฉลิมชัย จารุวัตร์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก มีหน้าที่เสาะหาแหล่งท่องเที่ยวป้อนตลาด
ฝั่งอันดามัน ผืนดินทุกตารางนิ้วล้วนอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติสวยงาม ชายทะเล หาดทรายสีทอง น้ำทะเลสีคราม รวมทั้งปะการังใต้ทะเลถูกดึงมาเป็นจุดขาย
แล้วการพัฒนาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มผุดตาม โดยนักลงทุนจากส่วนกลางที่ อสท.ดึงเข้ามา และให้การสนับสนุน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ดินบริเวณชายทะเล หรือติดหาดถูกกลุ่มนายหน้า และนักเก็งกำไรกว้านซื้อเพื่อเสนอให้นักลงทุนสร้างโรงแรม ที่พักนักท่องเที่ยว
ในอดีตที่ดินติดหาด หรือใกล้หาดนั้นไม่มีราคาค่างวด ปลูกพืชอะไรไม่ได้ นอกจากมะพร้าว รวมทั้งใช้เป็นที่พักของชาวประมง และที่ตากอวนจับปลา หรือพื้นบ้านเรียก “ทับอวน” บอกขายกันไร่ละ 1,000 - 2,000 บาท หาคนซื้อไม่ได้ เมื่อมีการกว้านซื้อต่างก็รีบขาย แล้วอพยพไปอยู่ที่อื่น
มะพร้าว ต้นสนเริ่มทะยอยถูกโค่น ถอนรากถอนโคน ที่พักชาวประมง หรือทับอวนถูกไล่ที่ เพื่อปลูกสร้างป่าคอนกรีตขึ้นมารองรับความเจริญ หาดทรายขาว หรือทรายสีทองที่เคยสงบก็เริ่มคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวผมแดง นุ่งน้อยห่มน้อย เปลือยอกนอนตากแดด
นักลงทุนส่วนใหญ่มาจากส่วนกลาง หรือต่างประเทศ คนพื้นที่เองรุ่นบุกเบิก ต่างไม่ถนัด และไม่กล้าเสี่ยงในระยะแรก จนกระทั่งมาถึงรุ่นสอง ได้ออกไปศึกษาเปิดหูเปิดตาจึงมีหลายโครงการที่ลงทุนโดยนักลงทุนในพื้นที่ แต่ก็ใช้ที่ดินของตัวเองเป็นหลัก
จากผลการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ธรรมชาติที่เคยสวยงาม พื้นที่สีเขียวเริ่มหดหายไป หาดทรายที่เคยสงบยามค่ำคืน ในฤดูเต่าวางไข่ ก็จะเห็นเต่าทะเลทั้งเล็กใหญ่คลานต้วมเตี้ยมขึ้นมาวางไข่ ปัจจุบันหายจ้อย ในทางกลับกันกลับมีเทศกาลปล่อยเต่าที่เพาะฟักคืนสู่ทะเล จะมีชีวิตรอดยืนยาวจนเจริญพันธ์กี่ตัว เป็นเหยื่อปลาใหญ่ เป็นเหยื่ออวนลากกี่ตัว ไม่มีใครบอกได้
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ธนันธ์ ตันไพบูลย์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภูเก็ตแล้วน่าห่วง จังหวัดใกล้เคียงโซนอันดามันทั้งหมด ในอนาคต ก็คงจะไม่ต่างจากภูเก็ต
ธนันธ์บอกว่า กางลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตปีนี้ ระดับกลางในแนวดิ่ง คือคอนโดฯ การแข่งขันค่อนข้างสูง และร้อนแรงโดยเฉพาะคอนโดที่ราคาประมาณ 8-9 แสนบาท หรือไม่ถึงล้านบาทล้วนโตแบบก้าวกระโดด กลุ่มเป้าหมายก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งราคผ่อนไม่ต่างจากค่าเช่าบ้าน
เพราะฉะนั้นผ่อนคอนโดฯ ดีกว่าเช่าบ้าน ได้ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเมื่อไม่อยู่ หรือย้ายที่ทำงานก็ขายต่อ หรือให้เช่า
ส่วนนักลงทุนนั้น ก็ล้วนมาจากส่วนกลาง ต่างขนเงินมาลงทุนหลายต่อหลายโครงการ และยังหาทำเลลงทุนต่อเนื่อง การลงทุนปีนี้ของกลุ่มนักลงทุนจากส่วนกลาง คาดคะเนไว้อยู่ที่ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่าตัว ปีที่แล้วตัวเลขอยู่ที่ 10,000 ล้านบาทต้นๆ
ธนันธ์ ยังกล่าวถึงบ้านหรูที่เคยเฟื่องฟูเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาว่า การขายอืดลง ตลาดบ้านหรู ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยุโรป ซึ่งซื้อไว้เป็นบ้านพักผ่อน หรือบ้านที่สอง ในช่วงระยะที่ผ่านมาเศรษฐกิจของยุโรปตกต่ำ กำลังซื้อถดถอย การท่องเที่ยวลดลงไปด้วย
ตราบใดที่การท่องเที่ยวยังอยู่คู่กับภูเก็ต และคิดว่าต้องอยู่ตลอดไป เพราะภูเก็ตไม่มีทางที่จะหนีเป็นอื่นไปได้แล้ว ตราบนั้นการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ก็จะเกาะติดไม่หยุดโต จนกว่าจะอิ่มตัว นั่นหมายถึงว่า ตึกระฟ้าเต็มพื้นที่ภูเก็ตแล้วนั่นแหละ
อีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า ธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว ป่าไม้ ความร่มรื่น สุขสงบที่เป็นจุดขายปัจจุบัน ทะยอยหมดสิ้น กลายเป็นตึกระฟ้าป่าคอนกรีตอันสุดวิไล ก็คงจะเป็นจุดขายอีกด้านหนึ่ง และสุดท้ายบ่อนคาสิโนก็คงผุดขึ้นในภูเก็ต สมใจอยากของคนบางกลุ่ม หลังจากธรรมชาติหมดไป
อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ ทั้งจำนวนพลโลก พลเมือง เพิ่มทวีมากขึ้น โลกมันร้อนขึ้นทุกวัน ล้วนเป็นการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น การจะไปหยุด ไปฉุดกระชากให้โลกกลับมาสู่สภาพเดิมนั้น น่าจะเป็นแค่ฝัน
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มนุษย์หนีไม่พ้น ธรรมชาติถูกทำลาย เสื่อมสลาย ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน จะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมนั้นยาก ถึงจะฟื้นฟูได้ก็ไม่เหมือนเดิม มนุษย์เกิดใหม่รุ่นหลัง ก็ไม่เหมือนคนเก่า ทั้งรูปร่าง หน้าตา นิสัย และจิตใจ
ภูเก็ตในอนาคต ก็คงเป็นป่าคอนกรีต ที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พักชั่วคราว หรืออาจจะเป็นสถานที่ฟอกเงินของกลุ่มมาเฟีย หลังเปิดประตูสู่อาเซี่ยน และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเล ที่เป็นเพียงเมืองท่าให้เรือสำราญ หรือเรือยอช์ทเข้ามาพัก แวะรับเสบียงแล้วเดินทางต่อ ไปลังกาวี หรือสิงคโปร์ เวียตนาม ฟิลิบปินส์ หรือไม่อีกทีก็เป็นเกาะที่มีบ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย.