ภูเก็ตสนธิกำลังจับกุมขอทานผู้ว่าฯย้ำต้องดำเนินการเข้ม

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมฯจังหวัดภูเก็ต สนธิกำลังลงพื้นที่กวาดล้างขอทานในตลาดนัดสะพานเกาะสิเหร่ อ.เมือง คว้าน้ำเหลว พร้อมเผยตั้งแต่ ม.ค.-ก.พ.จับกุมขอทาน-เด็กขายดอกไม้แล้ว 19 ราย ผู้ว่าสั่งระดมกำลังกวาดล้างเข้มงวดรักษาภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 16.00 น.วันนี้ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่จากเทศบาลตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต บ้านมิตรไมตรีภูเก็ต นำโดยนางสาวจิตรลดา สังข์ประพันธ์ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าตรวจสอบบริเวณตลาดนัดหัวสะพานเกาะสิเหร่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายหลังสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าบริเวณตลาดดังกล่าวมีขอทานมานั่งขอทานจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม จากการเข้าตรวจสอบไม่พบขอทานมานั่งขอทานที่บริเวณตลาดดังกล่าวแต่อย่างใด คาดว่าเมื่อขอทานเห็นเจ้าหน้าที่ ขอทานเหล่านี้ก็หลบหนีไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็จะไปตรวจสอบตามตลาดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เพื่อกวาดล้างขอทานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตต่อไป

น.ส.ชวนชม จันทะวงษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัญหาขอทานและคนเร่ร่อนในจังหวัดภูเก็ตปัจจุบันพบว่ามีความรุนแรงขึ้น ประกอบจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก จึงไม่เหมาะที่จะมีภาพลักษณ์เหล่านี้ โดยในวันนี้ (27 ก.พ.) ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ในการกวดล้างจับกุมข้อทานในพื้นที่ โดยเน้นย้ำให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดภูเก็ต จะต้องมีการกวดขันเป็นพิเศษ ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ ก็เพิ่มความเข้มในการดำเนินการเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินงานกวาดล้างจับกุมขอทานและบุคคลเร่ร่อนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ.2555 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมขอทานและเด็กขายพวงมาลัยได้แล้วจำนวน 19 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กขายดอกไม้จำนวน 7 ราย ซึ่งในส่วนของเด็กขายพวงมาลัยนั้นได้เรียกผู้ปกครองมาทำทัณฑ์บนไว้แล้ว ส่วนขอทานก็ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ขอทาน โดยควบคุมตัวคุ้มครองสวัสดิภาพ

ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานก็จะระดมกำลังในการดำเนินงานกวาดล้างขอทานอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก