ปัตตานี - “ปะจู” กระดูกเหล็กวัย 76 เผยรอดชีวิตจากคมกระสุนทหารพรานปัตตานี เพราะแกล้งตาย ลั่นเสียความรู้สึกที่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือทหารหนุ่ม พร้อมแฉได้ยิน จนท.ตะโกน “ยิงให้ตายให้หมด” ด้านญาติตอกหน้า แม่ทัพภาค 4 มั่วเรียกตัวแทนชาวบ้านเจรจา แต่กลับไม่ใช่ตัวแทนของครอบครัว จี้เยียวยามากกว่ากรณีทั่วไป
วันนี้ (2 ก.พ.) ที่โรงพยาบาลปัตตานี ยังคงมีญาติๆ และประชาชนจากพื้นที่ อ.หนองจิก และใกล้เคียงจำนวนมาก เดินทางมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุเจ้าหน้าที่ทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บ 4 คน ซึ่งยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีก 3 ราย
โดยทั้งหมดอาการดีขึ้นมาก คือ นายมะแอ ดอเลาะ อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 ม.1 ต.ปูโล๊ะปูโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ถูกยิงที่ขาซ้ายหักกระดูกแตก หมอได้ผ่าตัดดามเหล็ก และมีบาดแผลถูกยิงที่เท้าขวาอีก 1 นัด อาการโดยรวมดีขึ้นมาก ทานอาหารและสามารถพูดคุยได้ดี หมออนุญาตให้ออกจากห้องศัลยกรรมอุบัติเหตุเพื่อพักฟื้นที่ห้องไอซียู โดยมีลูกๆ เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังมี นายซอบรี บือราเฮง อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของ นายมะแอ ดอเลาะ ซึ่งเป็นนักศึกษาปีที่ 1 เอกคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี พักรักษาอยู่ห้องไอซียู โดยยังต้องใช้เครื่องออกซิเจนช่วยในการหายใจ หมอต้องเฝ้าอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเคยมีอาการช๊อคมาแล้ว เนื่องจากคนไข้เสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล
โดย นายซอบรี ถูกยิงเข้าที่หน้าท้องทะลุกระเพาะ และขาหักทั้ง 2 ข้าง ซึ่งหมอได้มีการผ่าเย็บแผลกระเพาะเรียบร้อยแล้ว ส่วนขาทั้ง 2 ข้างต้องมีการปลูกเนื้อเยื่อกระดูก เนื่องจากกระดูกแตกจากแรงอัดของกระสุนปืนสงคราม
และยังมี ด.ช.มะรูดิง แวกะจิ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนแสงประทีปวิทยามูลนิธิ อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยถูกยิงที่แขนขวาหัก ยังพักรักษาอยู่ห้องศัลยกรรมอุบัติเหตุ
นายมะแอ ดอเลาะ หรือ “ปะจู” ชื่อที่คนในหมู่บ้านเรียกขานกัน ผู้เฒ่าวัย 76 ปี ได้เล่าเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุว่า หลังจากละหมาดอีซาที่มัสยิดเสร็จ เวลาประมาณ 20.30 น.เขากับหลานชายและเพื่อนบ้านรวม 9 คน นั่งรถยนต์กระบะเพื่อที่จะไปละหมาดเนื่องในพิธีศพคนตายที่บ้านทุ่งโพธิ์ ต.ลิปะสาโง ในเวลา 21.00 น. โดยมี นายยา ดือราแม คอเต็บมัสยิดเป็นคนขับ ส่วนปะจูนั่งในแค็บ ด้านคนขับรถคู่กับเพื่อนบ้านอีก 1 คน และมีผู้นั่งเบาะหน้าอีก 1 คน ส่วนคนอื่นๆ อีก 5 คน นั่งท้ายกระบะ
ในระหว่างทางเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ขณะที่รถกำลังขึ้นเนินมุ่งสู่ถนนทางหลวงสาย 418 มีทหาร จำนวน 4-5 คน โดยหนึ่งในนั้นได้ตะโกนบอกให้หยุดรถ ชาวบ้านจึงหยุดรถ นายสาหะ สาแม ที่นั่งเบาะหน้าได้ตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ว่าพวกเราเป็นคนดี เราเป็นคนในหมู่บ้านนี้ เรากำลังจะไปละหมาดคนตายที่บ้านทุ่งโพธิ์ ภายหลังจากนั้นได้เพียง 2-3 นาที ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น โดยกระหน่ำยิงเข้ามาที่รถทางด้านซ้ายมือ กระสุนถูกคนที่นั่งเบาะหน้าบาดเจ็บสาหัส รวมทั้งคนที่นั่งในแค็ปด้านซ้ายมือได้เสียชีวิตล้มทับปะจู
“ปะจูถูกยิงเข้าที่ขาขวาและที่เท้าเลือดไหลไม่หยุด เจ็บมาก ลุกไม่ได้ รู้สึกตัวตลอด พยายามเอาหัวซุกใต้เบาะ อยู่นิ่งแกล้งตายนานเป็นชั่วโมง ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่แกล้งตายไม่รอดแน่ คนอื่นตายหมดแล้ว ได้ยิงเสียงโห่ร้องของเจ้าหน้าที่ตะโกน ว่า มันตายหมดแล้วยัง ยิงให้ตายให้หมด จนเสียงเงียบสักพัก หลังจากนั้น ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาชนหน้ารถคันที่เกิดเหตุถึง 2 ครั้ง”
ปะจู เล่าต่อว่า ตอนนั้นปวดขามากๆ เพราะขาหัก เลือดของคนที่ตายทับตัวปะจูก็ไหลหยด แต่ก็ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าทหารจะมายิงซ้ำ ทนเจ็บอยู่เป็นชั่วโมง จนกระทั่งได้ยินเสียงคนเปิดประตูรถ ปะจู ลืมตาดูที่ขาเห็นเป็นรองเท้าสีขาว ไม่ใช่ทหารแน่ จึงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นมีคนมาช่วยยกออกจากรถส่งโรงพยาบาล
ปะจู บอกต่อว่า เขารู้สึกผิดหวังกับทหารมาก ไม่เคยคิดว่าแก่ขนาดนี้แล้วจะถูกทหารยิง เพราะก่อนหน้านี้ เขาเองรู้สึกดีและพูดคุยทักทายกับเจ้าหน้าที่ทหารชุดต่างๆ ที่เข้ามาในหมู่บ้านเป็นประจำ เคยให้น้ำดื่ม เคยช่วยถางป่า เพื่อเป็นทางเดินให้ พอมาเจอแบบนี้รู้สึกโกรธมาก อยากขอให้ถอนเจ้าหน้าที่ทหารออกจากหมู่บ้าน
ด้าน นางกอไลมะห์ ดอเลาะ ลูกสาวของ นายมะแอ ดอเลาะ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจ เศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียพ่อ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดที่หมู่บ้านของตนเอง เพราะหมู่บ้านที่เราอยู่เป็นหมู่บ้านที่สงบ ไม่มีเหตุร้าย
ซ้ำพอมาเกิดเหตุเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่เสียเอง อย่างนี้ประชาชนจะปลอดภัยอย่างไร ไหนบอกว่าเจ้าหน้าที่จะต้องดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ตนยังโชคดีที่พ่อรอดมาได้ ต้องขอบคุณพระเจ้า สงสารพ่อมาก คนอายุขนาดนี้แล้วต้องมาทุกข์ทรมานเจ็บปวดบาดแผล แต่พ่อมีกำลังใจดี เข้มแข็งมาก ท่านรู้สึกตัวตลอด
ส่วนเรื่องการช่วยเหลือ รัฐจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ไม่ใช่มาบอกว่าพวกเราเป็นโจร ใส่ร้ายชาวบ้าน คนแก่อายุมากแล้วจะไปถือปืนได้อย่างไร ขอให้รัฐช่วยเหลือครอบครัวที่เขาเสียชีวิต บางคนมีลูกมากถึง 10 คน เมียและลูกๆ เขาจะอยู่อย่างไร รัฐจะต้องช่วยเหลือเยียวยามากกว่ากรณีทั่วไป
นางกอไลมะ กล่าวถึงกรณีที่ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เรียกตัวแทนชาวบ้านไปพูดคุยทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ว่า ตนขอตำหนิว่าไม่รู้เจรจากับใคร เพราะในวันที่มีการพูดคุย คนในครอบครัวของตนไม่มีใครรู้เรื่อง มารู้เมื่อตอนเป็นข่าว และคนที่ไปร่วมไม่ใช่ตัวแทนของครอบครัวผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตโดยตรง ดังนั้น การเรียกร้องความเสียหายจึงยังไม่ได้มีการพูดคุยที่ชัดเจน ถึงแม้รัฐบอกว่าจะมีการเยียวยา ทั้งนี้ ครอบครัวของตนจะติดตามดูการทำงานของคณะกรรมการอิสระหากไม่มีอะไรคืบหน้าจะได้ดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป