โดย..ประสาท มีแต้ม
“ตอนนั้นรถแท็กซี่ส่วนใหญ่ใช้ก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้ม อยู่ๆ ทาง ปตท. ก็มาเสนอให้เปลี่ยนเป็นก๊าซเอ็นจีวี โดยไม่ต้องเสียค่าอุปกรณ์และติดตั้งใดๆ พร้อมกับแถมเงินให้อีกคนละสองพันบาท ราคาก๊าซเอ็นจีวีก็ถูกกว่า ใครบ้างจะไม่เอา” นี่คือความรู้สึกของคนขับรถแท็กซี่รายหนึ่งที่เล่าให้ผมฟังในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลังจากราคาก๊าซเพิ่งขึ้นไปได้ไม่กี่วัน
“สถานีเติมก๊าซเอ็นจีวีก็มีน้อย ไปทางอีสานบางครั้งต้องรอ 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้เติม บางทีพอจะถึงคิวเราก๊าซหมดอีก แท็กซี่บางคันรับผู้โดยสารที่เป็นฝรั่ง เมื่อไปแวะเติมก๊าซระหว่างทาง ต้องรอนาน ฝรั่งเขาก็ลากกระเป๋าลงไปหารถคันอื่นเฉยเลย ซึ่งก็น่าเห็นใจฝรั่งเขานะ”
“ทำไมไม่กลับไปใช้แอลพีจีอีกล่ะ” ผมถาม
“จะเอาเงินที่ไหนล่ะ ค่าติดตั้งสองหมื่นกว่าบาท จำนวนสถานีแอลพีจีมากกว่าก็จริง แต่ราคาก็ขึ้นเหมือนกัน ผมถูกเขาหลอกให้เลิกใช้แอลพีจีแล้วมาใช้เอ็นจีวี”
“ก็เอาเงินสองพันไปคืนให้เขาสิ แล้วบอกเขาว่าทำกลับมาให้เหมือนเดิม” ผมแหย่เล่นพร้อมกับทิ้งท้ายว่า “การตลาดของเขาแบบเดียวกับการขายยาเสพติดเลยนะ หลอกให้คนเสพฟรีจนติดแล้วค่อยขายราคาแพงๆ ในภายหลัง”
ในฐานะที่ผมเคยติดตามเรื่องพลังงานมาตั้งแต่โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียเมื่อสิบปีกว่าที่แล้วทำให้ผมพอจำได้ว่า ข้อมูลที่ผมได้รับการบอกเล่านี้เป็นความจริง และเพื่อความเข้าใจที่เป็นระบบผมจึงได้สืบค้นข้อมูลทั้งเก่าและใหม่พร้อมทั้งได้วิเคราะห์เพิ่มเติม (แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนเพราะ ปตท.ไม่เปิดเผย) ดังต่อไปนี้
หนึ่ง ก่อนที่เศรษฐกิจฟองสบู่จะแตกในปี 2540 ประเทศไทยโดย ปตท. (ตอนนั้นยังไม่ได้แปรรูป) ได้ทำสัญญาซื้อขายก๊าซกับประเทศพม่าไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อฟองสบู่แตกทำให้ความจำเป็นในการใช้พลังงานลดลงมาก ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องเสียค่า “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (take-or-pay)” เป็นจำนวนมาก เพียง 50 เดือนแรกที่สัญญามีผลบังคับใช้ (1 ก.ค. 2541 ถึง 30 กันยายน 2545) คิดเป็นเงินถึง 35,450 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นปริมาณก๊าซที่ได้ใช้จริงก็แค่เพียง 44% ของปริมาณที่ได้ทำสัญญาไว้ ที่เหลืออีก 56% เราต้องจ่ายเงินแต่ยังไม่ได้รับก๊าซ แม้จะได้รับก๊าซฟรีในภายหลังแต่ก็เสียโอกาส
นอกจากนี้โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้ก๊าซฯ แต่ก็ได้ทำโครงการตามความต้องการของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้ในเวลาต่อมาฝ่ายไทยต้องเสียค่า “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย” อีกกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ผมเข้าใจว่า เนื่องจากการวางแผนที่ผิดพลาดดังกล่าว ทาง ปตท.จึงพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซเอ็นจีวี โดยเฉพาะในหมู่รถแท็กซี่ ทั้งๆ ที่สถานีบริการยังมีไม่มากพอ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ปตท.ก็นำเงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานซึ่งเก็บมาจากผู้ใช้น้ำมันมาใช้ คิดเป็นเงินก็ประมาณคันละ 4 หมื่นบาท
ในปี 2553 รถที่เติมเอ็นจีวีทั้งหมด 2.68 แสนคัน แต่มีสถานี 444 ปั๊ม ถ้าเปิดวันละ 15 ชั่วโมง และแต่ละคันเติมวันเว้นวัน พบว่าแต่ละชั่วโมงต้องเติมให้ได้ 20 คัน ทันไหม?
อนึ่ง ก๊าซเอ็นจีวีก็คือก๊าซธรรมชาติที่ผ่านโรงแยกก๊าซแล้ว จากนั้นก็ผ่านกระบวนการอัดให้มีปริมาตรน้อยกว่า 1% ของปริมาตรเดิม แต่ ปตท.ไม่ยอมเปิดเผยต้นทุนเนื้อก๊าซ รวมทั้งต้นทุนการผลิตให้ละเอียดเป็นขั้นตอน แต่กลับบอกคร่าวๆ ที่ 8.39 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแย้งว่าน่าจะเป็น 4 บากกว่าๆ
สอง เอกสารของกระทรวงพลังงานเมื่อปี 2545 ได้ให้ข้อมูล (โดยบังเอิญ ดูภาพประกอบ ฉบับเต็มอ่านจาก http://www.eppo.go.th/admin/nlt/nlt-2546-01.pdf) ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณแล้วพบว่า ราคาก๊าซในอ่าวไทยราคาลูกบาศก์ฟุตละ 10.25 สตางค์ ในขณะที่ก๊าซจากประเทศพม่าอยู่ที่ 16.05 บาท เข้าใจว่ารวมค่าผ่านท่อแล้ว
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงานที่มาชี้แจงต่อกรรมาธิการชุดคุณรสนา โตสิตระกูล เรียบร้อยแล้ว แต่คำถามคือ ทำไม? คำตอบน่าจะเป็นเพราะต้องการเลี่ยงค่าภาคหลวงซึ่งไทยเก็บในอัตราที่ต่ำที่สุดในโลกให้ต่ำลงไปอีกนั่นเอง
สาม มติ ครม. (24 ธ.ค.45) ได้กำหนดว่า ในช่วง 4 ปีแรกให้ขายเอ็นจีวีในราคา 50% ของน้ำมันดีเซล จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับเป็น 55%, 60%, 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 ในปี 50, 51 และ 52 เป็นต้นไป แต่ราคาขายปลีกต้องไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อแผนการตลาดเป็นที่ดึงดูดใจ จำนวนผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมาอยู่ที่ 5% ของการใช้ก๊าซทั้งหมด (ดังกราฟที่จำแนกการใช้) แต่แล้วก็มีการยกเลิกมติดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของคำว่า “ผมถูกหลอกให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวี”
สี่ ข้อมูลจากโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย พบว่าค่าผ่านท่อซึ่งยาวประมาณ 350 กิโลเมตรอยู่ที่อัตราประมาณ 0.44-0.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู หรือประมาณลูกบาศก์ฟุตละ 2 สตางค์ สิ่งที่ยังเป็นคำถามคือ เอ็นจีวีหนึ่งกิโลกรัมมาจากก๊าซดิบกี่ลูกบาศก์ฟุตและค่าการอัดเป็นเท่าใด
สุดท้าย ผมมีข้อมูลว่า การขึ้นลงของราคาก๊าซธรรมชาติเป็นไปตามการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย ไม่ใช่ตามนโยบายของแต่ละประเทศอย่างเดียวตามที่ ปตท.อ้าง และในช่วง 3 ปีมานี้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง แล้วเอ็นจีวีบ้านเราขึ้นราคาทำไม? บริษัทและรัฐที่มีธรรมาภิบาลต้องตอบให้กระจ่างครับ
“ตอนนั้นรถแท็กซี่ส่วนใหญ่ใช้ก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้ม อยู่ๆ ทาง ปตท. ก็มาเสนอให้เปลี่ยนเป็นก๊าซเอ็นจีวี โดยไม่ต้องเสียค่าอุปกรณ์และติดตั้งใดๆ พร้อมกับแถมเงินให้อีกคนละสองพันบาท ราคาก๊าซเอ็นจีวีก็ถูกกว่า ใครบ้างจะไม่เอา” นี่คือความรู้สึกของคนขับรถแท็กซี่รายหนึ่งที่เล่าให้ผมฟังในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลังจากราคาก๊าซเพิ่งขึ้นไปได้ไม่กี่วัน
“สถานีเติมก๊าซเอ็นจีวีก็มีน้อย ไปทางอีสานบางครั้งต้องรอ 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้เติม บางทีพอจะถึงคิวเราก๊าซหมดอีก แท็กซี่บางคันรับผู้โดยสารที่เป็นฝรั่ง เมื่อไปแวะเติมก๊าซระหว่างทาง ต้องรอนาน ฝรั่งเขาก็ลากกระเป๋าลงไปหารถคันอื่นเฉยเลย ซึ่งก็น่าเห็นใจฝรั่งเขานะ”
“ทำไมไม่กลับไปใช้แอลพีจีอีกล่ะ” ผมถาม
“จะเอาเงินที่ไหนล่ะ ค่าติดตั้งสองหมื่นกว่าบาท จำนวนสถานีแอลพีจีมากกว่าก็จริง แต่ราคาก็ขึ้นเหมือนกัน ผมถูกเขาหลอกให้เลิกใช้แอลพีจีแล้วมาใช้เอ็นจีวี”
“ก็เอาเงินสองพันไปคืนให้เขาสิ แล้วบอกเขาว่าทำกลับมาให้เหมือนเดิม” ผมแหย่เล่นพร้อมกับทิ้งท้ายว่า “การตลาดของเขาแบบเดียวกับการขายยาเสพติดเลยนะ หลอกให้คนเสพฟรีจนติดแล้วค่อยขายราคาแพงๆ ในภายหลัง”
ในฐานะที่ผมเคยติดตามเรื่องพลังงานมาตั้งแต่โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียเมื่อสิบปีกว่าที่แล้วทำให้ผมพอจำได้ว่า ข้อมูลที่ผมได้รับการบอกเล่านี้เป็นความจริง และเพื่อความเข้าใจที่เป็นระบบผมจึงได้สืบค้นข้อมูลทั้งเก่าและใหม่พร้อมทั้งได้วิเคราะห์เพิ่มเติม (แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนเพราะ ปตท.ไม่เปิดเผย) ดังต่อไปนี้
หนึ่ง ก่อนที่เศรษฐกิจฟองสบู่จะแตกในปี 2540 ประเทศไทยโดย ปตท. (ตอนนั้นยังไม่ได้แปรรูป) ได้ทำสัญญาซื้อขายก๊าซกับประเทศพม่าไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อฟองสบู่แตกทำให้ความจำเป็นในการใช้พลังงานลดลงมาก ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องเสียค่า “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (take-or-pay)” เป็นจำนวนมาก เพียง 50 เดือนแรกที่สัญญามีผลบังคับใช้ (1 ก.ค. 2541 ถึง 30 กันยายน 2545) คิดเป็นเงินถึง 35,450 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นปริมาณก๊าซที่ได้ใช้จริงก็แค่เพียง 44% ของปริมาณที่ได้ทำสัญญาไว้ ที่เหลืออีก 56% เราต้องจ่ายเงินแต่ยังไม่ได้รับก๊าซ แม้จะได้รับก๊าซฟรีในภายหลังแต่ก็เสียโอกาส
นอกจากนี้โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้ก๊าซฯ แต่ก็ได้ทำโครงการตามความต้องการของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้ในเวลาต่อมาฝ่ายไทยต้องเสียค่า “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย” อีกกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ผมเข้าใจว่า เนื่องจากการวางแผนที่ผิดพลาดดังกล่าว ทาง ปตท.จึงพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซเอ็นจีวี โดยเฉพาะในหมู่รถแท็กซี่ ทั้งๆ ที่สถานีบริการยังมีไม่มากพอ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ปตท.ก็นำเงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานซึ่งเก็บมาจากผู้ใช้น้ำมันมาใช้ คิดเป็นเงินก็ประมาณคันละ 4 หมื่นบาท
ในปี 2553 รถที่เติมเอ็นจีวีทั้งหมด 2.68 แสนคัน แต่มีสถานี 444 ปั๊ม ถ้าเปิดวันละ 15 ชั่วโมง และแต่ละคันเติมวันเว้นวัน พบว่าแต่ละชั่วโมงต้องเติมให้ได้ 20 คัน ทันไหม?
อนึ่ง ก๊าซเอ็นจีวีก็คือก๊าซธรรมชาติที่ผ่านโรงแยกก๊าซแล้ว จากนั้นก็ผ่านกระบวนการอัดให้มีปริมาตรน้อยกว่า 1% ของปริมาตรเดิม แต่ ปตท.ไม่ยอมเปิดเผยต้นทุนเนื้อก๊าซ รวมทั้งต้นทุนการผลิตให้ละเอียดเป็นขั้นตอน แต่กลับบอกคร่าวๆ ที่ 8.39 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแย้งว่าน่าจะเป็น 4 บากกว่าๆ
สอง เอกสารของกระทรวงพลังงานเมื่อปี 2545 ได้ให้ข้อมูล (โดยบังเอิญ ดูภาพประกอบ ฉบับเต็มอ่านจาก http://www.eppo.go.th/admin/nlt/nlt-2546-01.pdf) ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณแล้วพบว่า ราคาก๊าซในอ่าวไทยราคาลูกบาศก์ฟุตละ 10.25 สตางค์ ในขณะที่ก๊าซจากประเทศพม่าอยู่ที่ 16.05 บาท เข้าใจว่ารวมค่าผ่านท่อแล้ว
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงานที่มาชี้แจงต่อกรรมาธิการชุดคุณรสนา โตสิตระกูล เรียบร้อยแล้ว แต่คำถามคือ ทำไม? คำตอบน่าจะเป็นเพราะต้องการเลี่ยงค่าภาคหลวงซึ่งไทยเก็บในอัตราที่ต่ำที่สุดในโลกให้ต่ำลงไปอีกนั่นเอง
สาม มติ ครม. (24 ธ.ค.45) ได้กำหนดว่า ในช่วง 4 ปีแรกให้ขายเอ็นจีวีในราคา 50% ของน้ำมันดีเซล จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับเป็น 55%, 60%, 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 ในปี 50, 51 และ 52 เป็นต้นไป แต่ราคาขายปลีกต้องไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อแผนการตลาดเป็นที่ดึงดูดใจ จำนวนผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมาอยู่ที่ 5% ของการใช้ก๊าซทั้งหมด (ดังกราฟที่จำแนกการใช้) แต่แล้วก็มีการยกเลิกมติดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของคำว่า “ผมถูกหลอกให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวี”
สี่ ข้อมูลจากโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย พบว่าค่าผ่านท่อซึ่งยาวประมาณ 350 กิโลเมตรอยู่ที่อัตราประมาณ 0.44-0.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู หรือประมาณลูกบาศก์ฟุตละ 2 สตางค์ สิ่งที่ยังเป็นคำถามคือ เอ็นจีวีหนึ่งกิโลกรัมมาจากก๊าซดิบกี่ลูกบาศก์ฟุตและค่าการอัดเป็นเท่าใด
สุดท้าย ผมมีข้อมูลว่า การขึ้นลงของราคาก๊าซธรรมชาติเป็นไปตามการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย ไม่ใช่ตามนโยบายของแต่ละประเทศอย่างเดียวตามที่ ปตท.อ้าง และในช่วง 3 ปีมานี้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง แล้วเอ็นจีวีบ้านเราขึ้นราคาทำไม? บริษัทและรัฐที่มีธรรมาภิบาลต้องตอบให้กระจ่างครับ