รถตู้โดยสาร หาดใหญ่-ภูเก็ต ชนเก๋งยับหวิดตายหมู่ ที่ตรัง

ตรัง - รถตู้โดยสารสายหาดใหญ่-ภูเก็ต ซิ่งสยองเบรกแตก ก่อนฝ่าไฟแดงพุ่งชนรถเก๋งโตโยต้าพังยับเยิน ส่งผลให้แม่เจ้าของโรงพิมพ์เมืองลุงดับสยอง แถมยังมีคนเจ็บอีก 4 คน

วันนี้ (13 ก.ย.) พ.ต.ท.บรรเทา ปลอดทอง สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองตรัง รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนกับรถยนต์เก๋ง และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ที่บริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจรเลี่ยงเมืองตรัง บ้านท่าปาป ต.นาโยงใต้ อ.เมืองตรัง หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย

ที่เกิดเหตุพบรถเก๋ง โตโยต้า โคโรล่า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กข 552 พัทลุง อยู่ในสภาพด้านคนนั่งข้างถูกชนตะแคงอัดก๊อปปี้ติดกับเสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนน จนทำให้เสาไฟสัญญาณจราจร ซึ่งติดตั้งอยู่ใกล้กันหักโค่นล้มลงมา ห่างไปเล็กน้อยพบรถตู้โดยสาร โตโยต้า สายหาดใหญ่-ภูเก็ต สีขาว หมายเลขทะเบียน 10-0947 ภูเก็ต พลิกตะแคงอยู่กลางถนน โดยมีเศษชิ้นส่วนตัวรถ ทั้งรถตู้และรถเก๋งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นถนน

ส่วนผู้บาดเจ็บทราบว่า ถูกลำเลียงส่ง รพ.ศูนย์ตรัง ก่อนหน้านั้นแล้ว และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 1 คนในเวลาต่อมา คือ นางจารุวรรณ ณ พัทลุง อายุ 66 ปี ส่วน นายสายชล บุญรัตน์ อายุ 45 ปี คนขับรถตู้ พร้อมกับผู้โดยสารอีก 3 คน ได้รับบาดเจ็บ ประกอบด้วย นายธนวัฒน์ วาหะรักษ์ นายสมศักดิ์ กริชพิพัทธ และ น.ส.เนตรนภา ชูตรัง รวมทั้ง น.ส.ศศิณี ณ พัทลุง คนขับรถเก๋ง โดยส่วนใหญ่มีอาการศีรษะแตก ตามลำตัวมีแผลถลอกหลายแห่ง และกระดูกหัก เนื่องจากถูกแรงกระแทกอย่างแรง

จากการสอบสวน คนโดยสารรถตู้สายหาดใหญ่-ภูเก็ต เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุรถตู้คันดังกล่าว ซึ่งมี นายสายชล เป็นคนขับขี่จากจังหวัดภูเก็ต มาตามถนนสายบ้านโพธิ์-นาตาล่วง อำเภอเมืองตรัง มุ่งหน้าจะไปส่งคนโดยสารที่จุดหมายปลายทางอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แต่ก่อนถึงสี่แยกสัญญาณไฟจราจร ประมาณ 300-400 เมตร ปรากฎว่า รถตู้เบรกไม่อยู่ ทำให้เสียหลักฝ่าไฟแดงพุ่งไปชนกับรถเก๋งของ น.ส.ศศิณี ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพิมพ์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดพัทลุง ซึ่งกำลังขับขี่ออกมาจากไฟเขียว เข้าอย่างจัง จนเป็นเหตุให้ นางจารุวรรณ มารดาของ น.ส.ศศิณี ซึ่งนั่งมาด้วย เสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองตรัง ยังไม่แจ้งข้อหาใดแก่ นายสายชล ซึ่งเป็นคนขับรถตู้โดยสารคันดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถให้ปากคำใดได้ เพราะยังอยู่ในอาการบาดเจ็บ จึงต้องรอการสอบปากคำทั้งสองฝ่ายให้เสร็จสิ้นก่อน ถึงจะสามารถแจ้งข้อหาได้ต่อไป